Saturday, March 22, 2014

ขี่รถไปนอนเล่นที่ผาเดียวดายกัน

ทริปนี้  ได้ไปขี่ในวันธรรมดาอีกแล้ว  หลังจากปั่นงานเสร็จจนเช้ามืด  วันถัดมา เกิดอารมณ์มันอยากขี่   จึงตัดสินใจ ขี่รถคู่ใจไปเขาใหญ่  ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมต้องเป็นเขาใหญ่  รู้แต่ว่า อยากไปที่ไหนสักแห่ง แค่นั้น    ทั้ง ๆ อยากไปที่ที่หนึ่งมากกว่า   แต่มีงานใหม่เข้ามารออยู่ จึงไปได้แค่เขาใหญ่  ที่มันสบาย ๆ หน่อย   หิวโค้งนิดหน่อยด้วย   ขอเล่นโค้งเบา ๆ  หน่อยน่า    เพราะเพิ่งอิ่ม   จากทริปเหนือครั้งล่าสุดล่ะ  

มาเขาใหญ่มาเป็นครั้งที่ 4 ได้แล้วมั้ง     แต่ไม่เคยซ้ำกัน  ในหลาย ๆ เรื่อง

ออกมาสายมาก ออกจากกรุงเทพ สิบโมงเช้า ไปถึงเขาใหญ่ก็เที่ยงครึ่ง  (มีแวะทานข้าว กลางทาง สองครั้ง)   ครั้งนี้ไม่ได้เอา GPS ติดมาด้วย เพราะอยากไปแบบสบาย ๆ บ้าง ไม่ติดอะไรมาก  กลับมืดก็ได้  

เข้าประตูอช. เขาใหญ่ ฝั่งปราจีนบุรี  ไม่เคยมาก่อนนะ   ก็เข้าง่ายดีนะ    อากาศกำลังเย็นสบายมาก สดชื่น 

ถ่ายรูปแชะ  ๆ    อ้อ   เอากล้อง DSLR Canon 1000D ของเพื่อนมาด้วย แต่ใส่เลนส์ fix 50mm  F1.8  พูดให้ถูก  ใช้เลนส์ตัวนี้ไม่ค่อยตรงกับจุดประสงค์ใช้งานเลยนะ มันเหมาะกับถ่าย "คน" มากกว่า   คือเรื่องของเรื่อง เลนส์ kit  มันพังหมดแล้ว  55555+   ก็เลยใช้ตัวนี้มา  โดยใส่กระเป๋าคาดเอวไป    แต่มีสลับถ่ายกับ กล้องมือถือบ้างนะ  เดี๋ยวปิ่นจะเขียนระบุใต้ภาพว่า  ภาพใดถ่ายจากมือถือ?   ที่เหลือ ก็ DSLR หมด 

บอกตามตรงว่า หนักชะมัด    เคยแวะไปดูกล้องตัวท๊อป มันหนักกว่าตัวนี้เยอะเลย   แค่คิดอยากจะซื้อตัวใหม่   ก็เครียดล่ะ  แพงด้วย  หนักเอวตัวเองมาก  พูดเล่นน่ะ  จริง ๆ กะว่าจะซื้อกระเป๋าติดถังน้ำมัน ใส่แทนแหละน่า   

ไม่ได้ถ่ายด้วยกล้อง DSLR  กับมอเตอร์ไซค์มานานมาก  2 ปีได้   จำความรู้สึกไม่ได้ล่ะ       ใช่ซิ    มันคือ  "ต้องถอดหมวกกันน็อคทุกครั้งก่อนถ่ายรูป   เข้าออก ที เจ็บหูตัวเองมาก  ต้องถอดถุงมือด้วย    แต่ทำไงได้ล่ะ คนมันชอบถ่ายนี่เนอะ   


















ขี่ไปเรื่อย เก็บภาพไปเรื่อย   จุดปลายทางของเราคือ  "ผาเดียวดาย"   ตั้งใจว่า จะมาเก็บซะหน่อย เพราะไม่เคยไปมาก่อน  เคยเห็นมาหลายทีล่ะ ว่า ไอ้ "ผาเดียวดาย" เนี่ย มันยังไง ไหงมาตั้งชื่อได้น่ากลัวมาก   

เลี้ยวขวา   เข้าไปยัง ผาเดียวดายที่อยู่ไกลออกไป ระยะ 11 กิโลเมตร ฟังดูไกลนะ   ไม่รู้มาก่อนจริง ๆ ว่า ช่วง 7 กิโลเมตรสุดท้าย เป็นทางขึ้นเขาล้วน ๆ  ก็ขี่ขึ้นไปอย่างสบายใจ 

ไหนล่ะ ?  ผาเดียวดาย   อ้าว ทำไมเจอที่จอดรถล่ะ  อ้อ. ต้องเดินลงไปนั่นเอง  

เดินไป ทานขนมช็อคโกแลตไปด้วย  งั่ม ๆ 






มาเจอภาพตรงหน้า  ความรู้สึกตอนเห็นหน้าผาเดียวดาย มันวูบดับทันที  อย่างบอกไม่ถูก  ดีที่มาวันธรรมดา แต่ยังมีนักท่องเที่ยวอยู่ 6 คน  ก็นั่งรอจนกว่า พวกเขากลับไป  ค่อยไปนั่งนอนคิดคนเดียว บนริมผาเดียวดาย  มองวิวไปพลาง  โคตรระสบายใจสุด ๆ  และได้เหวี่ยงเรื่องบางเรื่อง   โยนออกไป     ภาพในหัวที่แฟลชไปแฟลชมา  เอาออกมาให้หมด   มองไปที่ขอบฟ้าที่อยู่ขวามือ ไกลสุดกู่   ดูไม่ออกเลยล่ะ ว่า มันไกลกี่กิโลเมตรกันแน่ะ ?  กว่าจะไปถึงขอบท้องฟ้านั่น?   

ตอนมองออกไป  ได้จินตนาการถึงโลกใบสีฟ้า ใบกลม  ๆ  ในมโนภาพ   เออเนอะ    

ขอตัวนิดหนึ่งนะ  ปิ่นไม่ใช่นักปรัชญาจ๋า  ไม่ใช่นักคิดอะไร  เพียงแต่เป็นคนชอบคิด "เยอะ"    ชอบคิดอะไรไม่มีที่สิ้นสุด  ไปเรื่อยๆ   แต่ด้วยอายุยังไม่มาก  ยังผ่านโลกมาน้อยมาก  มีอะไรต้องเจออีกเยอะ   No pain, No gain.  ยังอยากออกไปสู่โลกกว้างอีกเยอะๆ   แต่ไม่มีตังค์น่ะซิ  ดังนั้นต้องทำงานหาเงิน  ฮืออ..     No money , No more to exploer!    







หลังจากนอนเล่นอยู่ตั้งนาน   กลั่นกรองความคิดมาเป็นตัน ๆ  ได้เรื่องหนึ่งมาว่า 

"อยู่คนเดียวมันแสนสุข   แต่ไม่สนุก แต่แสนสบาย   อยู่สองคน หรือหลายคน  มันมีความทุกข์ แต่มันสนุก แต่ไม่สบาย"



บางที เราน่าจะอยู่กับปัจจุบันก็ดีเหมือนกันนะ   " We should learn to live in the present moment."  

นึกถึงหนังเรื่อง  Peaceful Warrior   (หนังเรื่องนี้ ไม่มีจัดจำหน่ายในเมืองไทย  แต่ใครสนใจ ก็หลังไมค์มาได้นะ  ยินดีแบ่งปันให้ดูกัน เพื่อความบันเทิงส่วนตัวในบ้านนะ)  



พอนั่งนอนจนสบายใจหมดแล้ว ก็ออกจากผาเดียวดาย เพื่อขี่กลับลงไปข้างล่าง   




รูปทั้งหมดใน comment นี้   ถ่ายมาจากมือถือทั้งหมดนะ   เพราะว่า  เลนส์ fix 50 mm F1.8  ถ่ายออกมาแล้ว ขาวโพลนมาก   ซึ่งเป็นช่วงบ่ายโมงของวัน  แสงจึงออกมาขาวมาก


ระหว่างทางมีเรื่องให้ตื่นเต้นเล่น ๆ  เบา ๆ  ลิงน่ะ ลิงในเขาใหญ่   มีรถนักท่องเที่ยว จอดชะลอ เพื่อดู ลิงเขาใหญ่  แต่ลิงบางตัวกลับไม่ยอมหลบลงไปข้างทาง  แต่มันกลับเลือก นั่งขวางทางซะงั้น  น่าตีจริง ๆ  


บางทีลิงมันก็นั่งอยู่เฉย ๆ ตรงเส้นแบ่งเลน  แต่อยู่ ๆ มันเดินมาเฉื่อย  ๆ ตรงหน้าปิ่นซะงั้น ต้องเบรคจนหัวทิ่ม  (ไม่ได้ขี่เร็วนะ  ขี่ไม่เกิน 65 km/hr.)  ไม่สนับสนุนขี่เร็วในอช.เขาใหญ่นะ  ไม่ดี  อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้  เพราะถนนลื่น และ แคบ  มันเป็นเส้นทางชมธรรมชาตินะ  ช่วย ๆ กันหน่อยนะ      พอเข้าใจพฤติกรรมลิงเหล่านี้นะ  เพราะมีคนป้อนให้อาหารมัน  มันจึงมานั่งรอริมถนน จนโดนรถชนตายเป็นได้   



มาจอดถ่ายรูปอีกชุดสุดท้ายก่อนออกจาก อช.เขาใหญ่  เพิ่งบ่ายสามแก่ ๆ    ร้อนมากเลยล่ะ   แดดยังแรง  จึงถ่ายออกมาไม่สวยหน่อยนะ   

อุณหภูมิต่ำสุดที่ อช.เขาใหญ่ 7 องศาเอง    น่ามานอนกางเต็นท์เนอะ   










หน้าปัดฟ้องว่า  น้ำมันจะหมดแล้ว  จึงแวะเติม ปั้มบางจาก โดยไม่ได้ดูให้ดีก่อน ว่า ที่นี่แพงกว่า ในกทม. ตั้ง 20 สต.  ดันบอกเด็กปั้มไปว่า ขอเต็มถัง โธ่.. หมดกัน  เสียดายเงินนะเออ    

โถ่.... เติมน้ำมัน E20 เต็มถัง เพราะจะหมดถังแล้ว ที่สระบุรี  เอะใจ "อ้ะ ทำไม e20 มันลิตรละ 35.98บาทหว่า?" ไม่ได้คิดอะไรนะ สั่งให้เติมเต็มถังไปตามปกติ 

พอมาแวะพักที่ ปั้ม หน้า ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต   ดูราคา "อ้าว เฮ้ย !" 35.59 บาท" (TT___TT) อะไรกันฟระ??

เศร้า...ใจ   รู้งี้ เติม 100 บาทพอ ค่อยมาเติมในตัวเมืองกรุงเทพหรือปริมณฑล ดีกว่าเนอะ  


มีพี่คนหนึ่ง แซวมา เขาบอกว่า  "แพง !  ติดถังแก๊สดีกว่ามั้ง??"  

ไอ้เราก็ตอบกลับไปว่า " รถนินจาจะแบกถังแก๊สได้ยังไงล่ะพี่ ?  555555555+  "


ทริปนี้ รูปน้อยหน่อยนะ  เดือนหน้า ถ้าไม่ติดอะไร มีเงิน   ก็จะพาไปเที่ยวที่ไกลกว่านี้  และสนุกกว่านี้แน่นอน    

ขอส่งท้ายด้วย "There's never nothing going on, There are no ordinary moments."   "ไม่เคยมีอะไรไม่ก้าวต่อไป  ไม่มีช่วงเวลาที่หยุดนิ่ง"     


10 สิ่งที่โง่ที่สุดที่คนเราสามารถทำบนมอเตอร์ไซค์ได้

บทความแปลฉบับนี้  ขอสงวนสิทธิ์ ในการเผยแพร่ คัดลอก หรือ ตีพิมพ์ ในงานแปลดังกล่าวโดยไม่ได้รับการยินยอมจากเจ้าของผลงานแปล   


บทความต้นฉบับ  :  http://rideapart.com/2013/10/dumbest-things-you-can-do-on-a-bike/



1. คุณกำลังขี่มายังสี่แยกไฟแดงที่กำลังวุ่นว่ายมาก และคุณอยากจะเลี้ยวซ้าย   แต่มันรถติดมากและมีคนเดินกันขวักไขว่บนทางคนเดินกันเยอะด้วย  แล้วคุณบีบแตรแทนที่จะเปิดไฟสัญญาณเลี้ยว ทุกคนก็หันควับมาที่คุณทันที  รวมทั้งชายขี้โมโหที่ขับรถกระบะมองมาที่คุณด้วย แล้วแสดงท่าทางทางภาษากายว่า "เอ็งบีบแตรใส่ตรูทำไม? " 

1: You’re coming up to a very busy intersection and you want to turn left. There’s a ton of traffic ahead of you and lots of pedestrians milling around on the sidewalk. You hit the horn instead of your signal and everyone is suddenly looking at you, including the enormous angry guy in the truck ahead who is now confused as to why you’re beeping at him.



2. วันนี้ อากาศดี  คุณออกไปขี่รถมอเตอร์ไซค์และคุณดูดีมาก  ไม่มีอะไรผิดปกติจนกระทั่งคุณขี่ผ่านมาเห็นกระจกในร้านค้าที่มันสะท้อนตัวคุณกำลังขี่รถอยู่  มันไม่ผิดหรอก  ยกเว้นว่า ข้างหน้าที่คุณกำลังขี่ตรงไป  มีรถติดไฟแดงอยู่  ที่นี้คุณควรหยุดภูมิใจในตัวคุณได้แล้ว ก่อนที่จะเบรค   เกือบจะไปชนรถคันหน้าซะก่อน  

2: It’s a sunny day, you’re out on your bike and you’re looking good. Nothing wrong with grabbing a quick look at your reflection in the store windows as you ride by, right? Nothing wrong at all, except the traffic ahead has suddenly backed up and you now need to stop admiring yourself and be on the brakes to keep from rear-ending the car ahead of you.


3. ให้ตายเถอะ ข้างนอกหนาวชะมัด !!!  ได้เวลาสวมใส่ชุดขับขี่ที่ไว้ใส่ขี่ในหน้าหนาว  ใส่ชุดหนังแท้ราคาแพงแล้วรูดซิปขึ้น  สะพายเป้หลัง เอาสายรัดเอว กับ ท้องไว้ แล้วตามด้วยใส่หมวกกันน็อค ใส่ถุงมือขี่รถสำหรับฤดูหนาวอย่างหนา  เสร็จแล้ว เดินออกไปยังที่รถแล้วเพิ่งนึกได้ว่า กุญแจรถอยู่ในกระเป๋ากางเกงอ่ะ  (โอ้ย!!! ต้องแต่งตัวใหม่อีกแล้วเรอะ??)    

3: Damn it’s cold outside. Time to put on the cold weather gear. Step into that expensive riding suit, zip yourself in. Put on the backpack with chest and abdomen straps, pull on your helmet and put on those thick cold weather gloves. Walk outside to your motorcycle and realize your key is still in your jean pocket. (Ouch!)




4. คุณขี่มาทั้งวัน และเหนื่อยมาก   แล้วคุณหยุดรถที่แยกไฟแดง  คุณคิดว่า แว่นกันแดดของคุณกำลังจะไหลลงมาที่จมูก  เปิดชิลด์หมวกขึ้นแล้ว นิ้วไปจิ้มตาตัวเอง  แล้วคุณก็นึกขึ้นได้ว่า ไม่ได้ใส่แว่นอยู่นี่หว่า ตราบใดที่คุณกำลังขี่รถในเวลากลางคืนแล้วต้องจอดรถแล้วทำตาตัวเองเจ็บฟรี

4: You’ve been riding all day and you’re getting tired. You pull up at a stoplight. You think your sunglasses have slipped down your nose a little. Lift your visor up and poke yourself in the eye. Only then do you remember you’re not wearing them as you’re riding at night. Have to pull over, as you may have a corneal abrasion.



5. คุณขี่รถออกไปซื้อของที่ร้านขายของชำด้วยความรีบร้อน   คุณมีรายการที่จะซื้ออยู่ในใจไว้เรียบร้อยแล้ว คิดว่า คงไม่ลำบากมากนักที่จะเอาของกลับมาด้วย  แต่ปัญหาคือ มันไม่สำคัญหรอกว่า ที่ต้องซื้อของมากกว่าที่คิดไว้  ตอนนี้คุณต้องขี่รถกลับบ้าน  มีถั่วกระป๋อง 3 กระป๋อง  เบียร์ 6 กระป๋อง แล้วก็ขนมปังก้อนใหญ่อีก ทั้งหมดนี้ยัดใส่เสื้อแจ็คเกต (เสื้อ) ของคุณกลับบ้านนั่นแหละ 

5: Quick run to the grocery store on your bike. You’ve got the list of everything you need and it shouldn’t be that difficult to get it all on your motorcycle. The problem is that no matter how many times you’ve done this you always buy more than your bike’s bags can carry. You now have to ride home with three cans of beans, a six-pack of beer and a large loaf of bread stuffed down the front of your jacket.


6. หยุดจอดรอสัญญาณไฟที่สี่แยกแห่งหนึ่ง เต็มไปด้วยรถรามากมาย  คนขับรถยนต์บางคนกำลังมองมาที่คุณและรถของคุณ  คุณมองไปข้างหน้า แล้วรอสัญญาณไฟเขียว   ที่นี้คุณก็เบิ้ลเครื่องและไม่ได้คิดว่า จะรีบไปไหน  คุณทำไปตามสัญชาตญาณของคุณเอง   ไม่สามารถคุมอารมณ์ตัวเองแล้วก็พยายามงัดเกียร์ขึ้น  ขี่ตรงไปอย่างเดียว คุณกำลังใจร้อนอยู่นั่นแหละ    งัดเกียร์มาที่เกียร์สามแล้วลากเกียร์ไปยาว ๆ   ผู้คนที่ขับตามมาด้านหลังน่ะ เขามองคุณเหมือนเป็นคนโง่นะ  

6: Pull up at an intersection. Surrounded by traffic. Some of the drivers are checking out you and your bike. You’re looking ahead, waiting for the light to turn green. When it does you twist the throttle and go nowhere as you’re still in neutral. There now follows a frantic scrabble to find a gear and just get going, as the guy behind you is getting impatient. You slope off in third gear, lugging the engine and looking like a chump.


7. เป็นวันที่ยาวนานมากหลังจากออกไปขี่รถมา  กำลังจะถึงบ้านแล้วสังเกตว่า มีเพื่อนบ้านหลายคนนั่งเล่นอยู่สนามหญ้าบ้านกันอยู่หลายหลัง   คุณขี่ต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงหน้าบ้านตัวเองแล้วจอดดับเครื่อง  ถอดถุงมือ ถอดหมวกกันน็อค  คิดไปเองว่า เพื่อนบ้านกำลังมองมาที่คุณ แล้วกำลังจะลงจากรถ  ปัญหาต่อมา คุณลืมเอาขาตั้งลงต่างหาก แล้วมอเตอร์ไซค์ล้มแปะ  คุณต้องมารับรถอย่างหนักหน่วงก่อนมันล้มแตะพื้น   ไม่ก็คุณอาจจะเจ็บตัวเป็นได้

7: It’s been a long day of riding. You’re finally home and as you pull into your neighborhood you see most of your neighbors are out in the front yard enjoying the warm summer weather. You pull up on your driveway. Turn off the bike’s ignition and start taking off your gloves and helmet, knowing your neighbors may be watching you. You get up and step off the bike. Only problem is you’ve forgotten to put the kickstand down and you and the bike both fall over in a tangled mess of motorcycle and thrashing limbs.


8. ช่วงนี้คุณรู้สึกไม่ดีมาสองสามวันแล้ว และอาการหวัดก็ทำให้คุณรู้สึกแย่ จะมีวิธิใดที่จะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นดีไปกว่าขี่มอเตอร์ไซค์เล่นล่ะ และไม่แปลกใจเลยที่มันช่วยคุณได้ จนกระทั่งคุณจะต้องจามขณะใส่หมวกกันน็อคที่ปิดทั้งหน้าขณะขี่รถด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนั่นแหละ

8: You’ve not been feeling well for a couple of days and that head cold you’ve got has really brought you down. What better way to perk yourself up and feel better than a quick motorcycle ride? And, not surprisingly, it works. That is until you have to sneeze at 60 mph in a full-face helmet.


9. ได้เวลาเติมน้ำมัน ปัญหาคือ ในปั้มน้ำมัน คนเยอะมากทั้งรถยนต์ทั้งคน  ทุกคนมองมาที่คุณกำลังคร่อมมอเตอร์ไซค์อยู่  คุณได้คิวหัวจ่ายน้ำมันแล้ว เติมน้ำมันลงใส่ถังน้ำมันรถจนเสร็จ ทุกคนยังมองที่คุณ  สองนาทีต่อมา มอเตอร์ไซค์ของคุณสตาร์ทไม่ติด ไม่สำคัญหรอกว่า คุณทำอะไรอยู่  ทุกคนยังมองอยู่  ที่จริง คุณลืมบิดกุญแจสตาร์ทรถต่างหากล่ะ   ในที่สุดสตาร์ทติดแล้วขี่ออกไปจากปั้ม  ทุกคนยังมองมาที่คุณอยู่ดี  

9: Time to fill the bike up with gas. Trouble is, it’s a bit busy at the gas station with a lot of people and vehicles. Everyone looks at you on your bike. You find a pump, fill the gas tank and get back on. Everyone is still watching you. For the next two minutes your bike won’t start no matter what you do to it. Everyone is still watching you. Eventually you realize you’d forgotten you’d hit the kill switch when you first pulled up. You finally get the engine going again and leave. Everyone is still watching you.


10. คุณกำลังขี่เข้าถนนฟรีเวย์ หลังจากวิ่งถนนทางคู่ขนานมา แล้วเห็นว่า บนถนนฟรีเวย์มันโล่งมาก  ขณะที่คุณเร่งเครื่อง ข้าวของเริ่มปลิวออกไปด้วยความเร็วสูง  เพราะคุณไม่ได้รูดซิปกระเป๋าติดถัง ของต่าง ๆ  เริ่มจะปลิวออกไปแล้ว  พวกอุปกรณ์ต่าง ๆ ราคาแพง รวมทั้งถุงมือด้วยที่เก็บไว้ใช้ในโอกาสพิเศษ เพิ่งปลิวตีขาของคุณ แล้วหายไป ที่นี้กระเป๋าเงินในกางเกงของคุณ  ใกล้จะร่วงหล่นไปด้วย  คุณได้เช็คกระจกมองข้างและเห็นว่าถนนที่เมื่อสักครู่ยังโล่งๆอยู่ บัดนี้เต็มไปด้วยยานพาหนะจำนวนมากที่ขับมาด้วยความเร็วสูงตามหลังคุณ และดูเหมือนว่ารถเหล่านั้นได้ขับทับของที่หล่นจากกระเป๋าติดถังของคุณหมดแล้ว

10: You’re about to get on a freeway from the slip road and it looks like the road ahead is really empty. Time to open the bike up and really get things going. Only problem is you’ve left your tank bag unzipped and, as you accelerate hard, all your worldly possessions are now starting to fly out at an alarming rate. That spare pair of expensive motorcycle gloves you were saving for a special occasion have just shot out and hit you on the leg and it looks like your wallet is about to jump ship too. You check your mirrors and that once empty freeway now has a mass of vehicles coming up fast behind you and they appear to have run over everything that’s flying out of your tank bag.

Wednesday, January 8, 2014

Ride to the sky "ทริปไปขี่รถเล่นบนถนนลอยฟ้า"

จากทริปสวนผึ้ง   เป็นแค่ทริปอุ่นเครื่อง

ไม่กี่อาทิตย์ต่อมา ได้จัดเต็ม เอาให้หายอยาก เอาให้สะใจไปเลย   หลังจากพลาดขี่ขึ้นดอยภูคา มา 2 รอบ ติดกัน  และ รูปถ่ายถนนลอยฟ้าที่บรรดาเพื่อนนักบิดมอเตอร์ไซค์ส่งมาให้ดูกัน ยั่วให้อยากกันทุกปี  ปีที่แล้วไม่ได้ไป เพราะเพิ่งได้รถมาเมื่อเดือนธันวาคม 2012  จึงไปไม่ทันแล้ว  เพราะรถยังใหม่มาก เซตไม่ลงตัวทั้งคนและรถ 

ปิ่นเคยมา R1148  มาสองรอบแล้ว   เพราะเส้นนี้ ขี่แล้วรู้สึกสบายใจสุด ๆ เลยล่ะ  เข้าโค้งก็มันส์กระจาย   เป็นเซอร์กิตแนวธรรมชาติ แห่งหนึ่งของไทย


ครั้งแรก มากับรถ Honda CBR250i ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2011  เช่ามาจากเชียงใหม่ แต่ไม่ค่อยสนุก เพราะรถคันนี้ขี่ง่ายเกินไป  เครื่องยนต์มันเที่ยงตรงมาก  ไม่ค่อยให้ฟิลลิ่ง  เหมาะกับการใช้งานประจำวันมากกว่า   จริง ๆ นะ ตอนนั้นน่ะ ตระเวณหาเช่า รถninja250r ทั่วเมืองเชียงใหม่แล้ว หาไม่เจอ  เวลาไม่ค่อยจะพอ จึงจัดรถ ค่ายปีกนกไปก่อน   จัดไปเบา ๆ 2-3 รูปนะ   ได้นอนพักค้างคืน ตื่นเช้ามาดูทะเลหมอก บนภูลังการีสอร์ท สวยมากก  สวยชนิดแบบว่า ได้ถูกธรรมชาติที่นั่นมันมนต์สะกดไว้ไปเรียบร้อย จึงได้พูดกับตัวเองว่า ต้องมาให้ได้ทุกปี  

ถามว่า ทำไมไม่ไปดอยภูคา ?  คือ...มาผิดเวลาน่ะ ผิดทางด้วย ก็เลยวนรถกลับเข้าเมืองน่านน่ะ   







รูปนี้แหละ  ขี่รถค่ายปีกนก ขึ้นดอยภูคาฝั่งทางอ.ปัว แต่ทางชันมาก ๆ  กว่าจะเอาขึ้นได้แทบหืดคอ  ตอนนั้นเย็นมากแล้ว  หมดแรงด้วย  จึงต้องกลับลงมาเข้าเมืองน่าน ตั้งหลักใหม่


ครั้งต่อมา เดือนสิงหาคม ปี 2012    ก็หาเช่า Ninja250R สีดำ ปี 2008 มาจนได้  หลังจากหาข้อมูลอยู่นานมาก  สภาพความจริงคือ  รถโทรมมาก สภาพยางก็หมดอายุ เสื่อมสภาพ แถมยังมาหน้าฝนด้วยแต่ขอบอกว่า ขี่มันส์มาก  ตอนนั้นไม่กลัวเลย ไม่กลัวล้ม  ไม่รู้ทำไม แต่มันก็ลื่นบ่อยนะ เวลาเข้าโค้ง แปร่ดดดด!!!  หลายครั้งล่ะ แต่ก็รอดมาได้ยังไงไม่ทราบ  รู้แต่ว่า จบทริปอย่างปลอดภัย เอิ๊ก ๆ   แต่.....เจ้านินจาคันนี้   เคย น้ำมันเครื่องขาด (แห้ง)  รถดับสนิท ใจกลางตัวเมืองน่าน  ใจตุ้บหล่นไปที่ตาตุ่ม   ดีที่ได้สมาชิกเวปพันทิปท่านหนึ่งได้ให้ความช่วยเหลือ จึงขี่ต่อไปได้ จนจบทริป  พร้อมแบก น้ำมันเครื่องสำรองไปด้วย 1 ขวด   หนักรถมากมาย   

แต่ก่อนจบทริป ได้หวดนินจาคันนี้ ขึ้นดอยสุเทพ ได้สะใจมากก.. แบนจนหมดหน้ายาง (ก็เคยขี่ขึ้นลงดอยสุเทพมาหลายครั้งแล้วนิ ๆ )   ก่อนนำไปคืนร้านเช่า 

พอจบทริป จึงตัดสินใจไม่ยากเลย  "เอา Kawasaki Ninja250R"  มาเป็นม้าศึกคู่ใจ จะวิ่งไปด้วยกัน   เคยไปลองขี่ตัว 500 มาแล้ว  ไม่ชอบ 

จัดไปอีก 3-4 รูป เบา ๆ  ทริปนี้ ขี่มาเส้น เชียงใหม่ - น่าน - 1148  - เชียงของ - พระตำหนักดอยตุง จังหวัดเชียงราย  ไม่กล้าขึ้นดอยภูคา เพราะยางหมดสภาพ เกาะถนนไม่อยู่แล้ว แถมยังถนนเปียก   ก็เลยต้องเข้าเก็บใส่ลิ้นชักไปก่อน  ปีหน้าค่อยมาใหม่ 


เส้น 1148  ท่าวังผา - สองแคว - เชียงคำ   สวยใช่ไหมล่ะ ?   





อย่างไรก็ดี ถ้าคุณสนใจเช่านินจา คันนี้  ปิ่นขอแนะนำว่า "อย่าเลย อย่าเอาคันนี้ไปขี่ ถ้าเขายังไม่ได้เปลี่ยนยางใหม่ หรือ บำรุงรักษาไม่ดีพอ"



วาร์ปมาวันที่ 15 ธันวาคม  2013  

ได้วางแผนเส้นทางโดยคร่าว ๆ  ตามดังภาพ Google Map    http://bit.ly/19ydtBQ




เนื่องด้วยมีเวลาจำกัด และ อยากเชฟแรงกายไว้    มีคนอยากจะไปเจอด้วย ที่พิษณุโลก เขารอปิ่นมานานล่ะ  เพราะเคยสัญญาไว้ว่า จะแวะไปหานะ    จึงอยากไปถึงแต่เช้า ๆ  จะได้ไม่เหนื่อยนัก   จึงไปซื้อตั๋วรถไฟมาก่อน เป็นตู้นอนพัดลม ชั้น 2  ไม่เลวนะ  จริงๆ อยากได้ตู้เครื่องปรับอากาศ แต่มันเต็มซะก่อน   ปิ่นเคยไปพิษณุโลกมา 5-6 ครั้งแล้ว ก็ยังไม่เคยเที่ยวให้ทั่วซะที เพราะที่ว่า เคยไป  แค่แวะมาชั่วคราว ใช้เป็นจุดช่วงต่อ จากสถานีรถไฟพิษณุโลก แล้วเดินทางไปยังที่อื่น ด้วยรถยนต์รับจ้างทั่วไป  

ปิ่นไม่ได้นั่งรถไฟมานานมาก ตั้งแต่ปี 2008 แล้วล่ะ  ครั้งล่าสุด ไปทริปขึ้นภูสอยดาว ขึ้นชื่อว่า โหดและชันมาก แต่วิวสวยมากนะ  มีต้นใบเมเปิ้ลซ่อนอยู่ไม่กี่ต้นในนั้น ในประเทศไทยเรา  แค่แวะมาหัวลำโพง ซื้อตั๋ว ก็เกิดแฟลชวาบมาในหัว ระลึกถึงอตีดที่เคยสนุกสนานกัน ในวัยเรียน

มหาวิทยาลัย    คิดถึงรถไฟและบรรยากาศเก่ามาก ๆ



ที่นี้ เราต้องขึ้นรถไฟขบวน 51  ที่ชานชาลา 10 เป็นรถ "ด่วน"  กำหนดเวลาออก 22.00 น.  แต่ในเมื่อเรามีมอเตอร์ไซค์ต้องเอาขึ้นระวาง ต้องไปล่วงหน้าอย่างน้อย 1 ชั่วโมงก่อนรถไฟออก  เป็นครั้งแรกที่ใช้บริการขึ้นระวางบนรถไฟ   มีคนมาล้อเย้ย ๆ ว่า "ค่าระวางแพงกว่า ตั๋วคนน่ะ 55555+ "

"เดี๋ยวเหอะ! "     ซึ่งเป็นเรื่องจริงนะ  เพราะค่าธรรมเนียมมัน 500 บาท ต่อครั้ง บวกค่าระยะทาง ค่าขนขึ้น-ลง และพิกัดซีซีมอเตอร์ไซค์มากกว่า 250 CC ขึ้นไป   รวมทั้งหมด 970 บาท แน่ะ..แพงกว่าตั๋วคนจริง   ยังไม่รวมค่าทิปคนยกอีกต่างหาก

แต่ปิ่นไม่แคร์  เพราะเรามาพร้อมหมดแล้ว  //ยักไหล่   


ระหว่างรอขึ้นระหว่าง มีพนักงานยกสินค้าระวาง มารบกวนล่ะ.. มาอ้อน ๆ ขอทิปหน่อยนะครับ  ปิ่นก็บอกเขาไปว่า "เดี๋ยวให้ หลังจากยกรถคันนี้ขึ้นและมัดให้เรียบร้อยก่อน" 

เขาก็ครับ ๆ   แปลกดีนะ ในใบเสร็จ ได้รวมค่าขนขึ้น-ลง ไปแล้วน่ะ  ยังมาขอทิปอีก  ไม่ทราบเหมือนกันว่า ใครเป็นคนริเริ่ม วิธีการปฎิบัติแบบนี้ ?  

ที่แน่ ๆ  ควรให้ดีกว่า เดี๋ยวเขามัดรถเราไม่ดี  ประมาณว่า กันไว้ก่อนดีกว่า  

มีคนเอารถใหญ่ขนาดใกล้เคียงมาด้วย  Honda Phantom 150  สีฟ้า สภาพปิ๊งมาก  เจ้าของดูแลดีมาก แถมยังได้ลงจุดปลายทางเหมือนกันเลย  
พอได้เวลายกขึ้น เสียวมากก..  ดูจากความสูงขอตู้สัมภาระ กับ พื้นบนชานชาลา สูงประมาณ 1 เมตรเศษ  แถมยังรถก็มีน้ำหนักกว่า 180 กิโลกรัม  เหวอมาก 

สุดท้าย ตรูต้องไปช่วยยกอีก  


แล้วให้ทิปไป  มัดไว้ดี ๆ นะ   เฮ้ออ...  

แล้วเจอกันที่พิษณุโลก  





ที่นอนบนตู้รถไฟ  นอนสบายมาก  แต่เสียตรงที่ไม่มีปลั๊กไฟไว้ชาร์จแบตโทรศัพท์มือถือ  เหมือนรถไฟในต่างประเทศ  ขนาดประเทศเวียดนามยังมีปลั๊กไฟให้เลย  (เคยนั่งรถไฟเวียดนาม จากกรุงฮานอย ไป จังหวัด เลาไก  สนุกมาก สุดยอด แถมยังตรงเวลาเป๊ะ  ตู้โบกี้ สะอาดกว่าของบ้านเรามาก ราคาค่าตั๋วก็แทบไม่ต่างกันเลย)  





มีผ้าห่ม กับ หมอนรอไว้ให้พร้อมแล้ว    รถไฟขบวน 51 ได้ออกตรงเวลาเป๊ะ  22.00 น.  ปู๊น ๆ ๆ  

หันไปรอบ ๆ ตู้แล้วปรากฎว่า คนไทยมี  6 คนเอง ที่เหลือเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติแนวแบ็คแพ็คหมดเลย

พอพ้นจากกรุงเทพก็หลับยาว หลับสบายมากกก..  



 เวลาตี 4 ครึ่ง ต้องตื่น     เตรียมตัวลงสถานีพิษณุโลก ที่มีกำหนดการถึง ประมาณเกือบ ตี 5  เลทนิดหน่อย  จำได้ว่า สภาพอุณหภูมิอากาศของเมืองพิษณุโลก จากจอมือถือ smartphone   "11องศา"  เย็นชะมัด  หิวข้าวด้วย 

พอถึงสถานีพิษณุโลก รีบวิ่งปึงปัง ๆ  !  เพื่อไปดูเขายกรถลงมา  ได้ทันดูจริง ๆ ด้วย เขาใช้ 6 คน ยกลงมาแน่ะ  ถ่ายรูปไม่ทันง่ะ   บรรดาเจ้าหน้าที่ต่างเดินมาหาปิ่นพูดคุยเกี่ยวกับรถนินจาคันนี้  






ปิ่นได้เหล่มองไปที่รถนินจาว่า "แหม่..เนื้อหอมนะยะ.. ไม่มีใครมาจีบตรูบ้างเลย เอ็งอ่ะได้ตลอด แบ่งหนุ่ม ๆ มาให้มั่งสิ"    ตบ ๆ เบาะรถเบา ๆ พร้อมตอบคำถามเจ้าหน้าที่สถานีรถไฟไปด้วย ที่เขาถามว่า จะไปไหนล่ะน้อง ?   ปิ่นตอบไปว่า "ไปเที่ยวน่ะค่ะ  ไปด้วยกันมั้ยล่ะ ?"
เคลื่อนย้ายลงเพื่อไปอยู่ข้างหน้าสถานี  โฮ่ว..ยังเหมือนเดิมทุกอย่างแฮะ  ไม่เปลี่ยนไปเลย ตั้ง 5 ปีแน่ะ  คิดถึงจัง  

แล้วทานขนมปัง กับ นม รองท้องไว้ก่อน บรรดาร้านอาหารยังไม่เปิดกัน   จริง ๆ ที่ตลาดสดข้างสถานีรถไฟ เขาเปิดแล้ว แต่ปิ่นอยากแวะไป 2 ที่  ในเวลาจำกัด ก็คือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร  หรือเรียกกันว่า "วัดใหญ่"  ตั้งอยู่ถนนพุทธบูชา  เป็นวัดเก่าแก่มาก มาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย โน่นน.  เคยอ่านเจอว่า  เป็นวัดที่มีงานศิลป์ประติมากรรมสวยงามมาก จึงตั้งหมายหมั่น ต้องไปไหว้และเดินชมดูด้วย  ค่อย ๆ ขี่ไป ชมบรรยากาศในตัวเมือง ยามเช้าตรู่  

เลี้ยวซ้ายเข้าวัด  อึ้งกับภาพตรงหน้า คือ..ขนาดของตลาดขายของที่ระลึกกับ ลานจอดรถกว้างกว่า บริเวณวัด ตั้ง 2 เท่าแน่ะ  ก็เลยแอบย่อง ๆ ขี่ไปตรงด้านหน้าวัดซะเลย  สวยมาก  เจ้ากล้อง HTC มันถ่ายกลางคืนไม่สวยน่ะซิ  





นึกแล้ว แอบเจ็บใจนิด ๆ  ตรงที่ไม่ได้ซื้อกล้อง DSLR ใหม่มาทดแทนตัวเก่าที่ปลดระวางไปแล้ว ก็ Canon 350D ลุยมาซะสมบุกสมบัน มาเกือบ 5 ปี สมควรแล้วล่ะ ที่มันพังในจังหวะนี้  อยากถ่ายรูปด้วยกล้อง DSLR มากกว่า มันได้ฟิล  สามารถใช้ถ่ายภาพที่ที่เราต้องการสื่อได้ตรงกว่า

เดินเล่น กวาดใบไม้ รอไปพลาง ๆ  รอจนฟ้าสว่าง เสียดายฟ้าปิด  เพราะมันเพิ่งฝนตกมาเมื่อคืนน่ะ  จึงไม่ค่อยสวย 



ได้ยินเสียงนกร้อง เจิ๊ยวจ๊าวว ดังลั่นมาก รำคาญมากเลยล่ะ  ต่อมามีพระสวดมนต์ในโบสถ์ด้วย  ผ่านลำโพงภายในบริเวณวัด 

ขอแทรกมุขนิดหนึ่ง   พอดีวันก่อนเพื่อนรุ่นพี่ของปิ่นได้แต่งงานกัน 

มางานแต่งเพื่อน...
รุ่นพี่ : ระดับนี้ ถ้าเป็นงานกู กูจะจัดในโบสถ์
เพื่อน : จะแต่งงานตามพิธีคริสต์?
รุ่นพี่ : เปล่า กูจัดงานบวช
ทุกคนคิดในใจ "sad!"
ฟังแล้วโคตรฮามากก กับมุขกวน ๆ  
ต้องขออภัยด้วยที่ใช้คำไม่สุภาพ ไม่ค่อยเข้ากับบรรยากาศซะด้วย  แต่มันอดขำไม่ได้จริง ๆ


เดินเข้าไปในโบสถ์ ไหว้ขอพรขอให้เดินทางอย่างปลอดภัย 




ขี่รถไปดูพระราชวังจันทน์ต่อ  ซึ่งเป็นที่ตั้งศาลสมเด็จพระนเรศวนมหาราช   เคยเรียนประวัติศาสตร์ไทยมาก่อนกันไหมเอ่ย ? สมัยเรียนมัธยมน่ะ  คำว่า "สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ" น่ะ  เคยผ่านตามาบ้างไหมเอ่ย ? นานมาก.. เขาสันนิษฐานกันว่า เคยเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ไทยมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงอยุธยานั่นแหละ.. เสียดายเหลือแต่แนวเขตพระราชวังจันทน์   เป็นแนวกำแพงพระราชวังน่ะ  เพิ่งค้นพบได้ไม่นานน่ะ  เพราะอยู่ใกล้กับโรงเรียนพิษณุโลกวิทยาคม เมื่อพ.ศ. 2535  ขุดเจอ  จึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในเวลาต่อมา





เออ เนอะ.. ระหว่างเดินชมไปเล่น ๆ  ได้ถามตัวเองเล่น ๆ ว่า แหม.. ทำไมเราได้เรียนวิชาประวัติศาสตร์ไทยน้อยจัง ในหลักสูตรบังคับน่ะ ? จะได้จำซะมั่งว่า จะซ้ำรอยประวัติศาสตร์ไปอีกไหม ? (ชี้ไปที่การเมือง อุ๊บส์...!!!)    ไม่เอา ไม่พูด  มาขี่รถเที่ยวกันน่า ปล่อยวางทุก ๆ อย่างไปก่อน เดี๋ยวจบทริป ค่อยไปรื้อใหม่  


ประมาณเก้าโมงเช้า พี่ที่ได้นัดกันไว้  มาถึงแล้ว  ขี่รถไปทานติ่มชำ ข้าวหมูแดง ที่ขึ้นชื่อในตัวเมืองพิษณุโลก เสียดายมาช้าไปหน่อย พี่เขาบอกว่า ถ้ามาเช้า ๆ จะมีติ่มชำให้เลือกเยอะกว่านี้อีก   ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้ถ่ายรูปอาหารบนโต๊ะ มัวแต่คุย เมาท์ ๆ กัน  ยาว ยาวไป    อร่อยมาก  อิ่มมาก  ต้องขอขอบคุณพี่ที่เป็นเจ้าถิ่นมาต้อนรับอย่างดี    


คุยกันนานมาก จนเกือบ 11 โมงเช้า  ต้องออกเดินทางต่อแล้ว  



ทริปนี้ ปิ่นไม่ได้จองที่พักใด ๆ เลยนะ   เพราะมั่นใจว่า มาวันธรรมดา ยังไงมีที่พักอยู่แล้วแหละน่ะ  และอ่านแผนที่แล้ว แต่ละที่อยู่ไม่ไกลแหล่งชุมชนมากนัก

แต่..ระหว่างทางซิ   มีคน Line บอกว่า "ต้องจองไปจากกรุงเทพนะ  walk-in ไม่ได้"  ใจมันก็ตุ้บ ๆต่อม ๆ นะ  ปิ่นได้เผื่อใจไว้แล้วว่า ถ้าไม่มีบ้านพัก  ก็นอนเต็นท์ก็ได้ฟระ.. (จะหนาวตายมั้ยนะ ?) 

เห็นกระเป๋าเป้เล็กแค่นี้   (ให้กลับไปดูรูปทริปเก่า)   ปิ่นอยากให้มันคล่องตัวน่ะ ก็เลยเอามาไม่เยอะ   ตั้งใจเน้นขี่รถอย่างเดียว  จะได้ไม่เป็นภาระมาก   

ไม่ได้เอาเสื้อกันหนาวมาเผื่อนะเออ.. ชุดนอนก็ เสื้อตัว กางเกงขาสั้น 1 ตัว อย่าให้ถามเลยว่า "นอนเต็นท์จะรอดไหม?"   ปิ่นน่ะ ขี้หนาวมาก จริง ๆ  แค่ต่ำกว่า 20 องศา ก็วิ่งโร่หาเสื้อกันหนาวมาใส่ซะแล้ว   






ถ้าต่ำกว่า 15 องศานะ ก็ต้องใส่เสื้อ 3 ชั้น โน่น...ค่อยยังชั่ว ฟู่ว...  

จึงตั้งใจว่า นอนบ้านพัก เพื่อเชฟร่างกายไว้น่ะ    และมีแผนสำรองไว้เยอะแยะ  จึงไม่กลัว ไม่ค่อยสะทกสะท้าน

เจอแยกอินโดจีน  ต้องจอดถ่ายรูปไว้เป็นธรรมเนียมซะหน่อย ว่า "ได้ขี่ผ่านแยกนี้แล้วนะ"






ขี่เข้าเส้น 11 ไปเข้าเส้น 1296  เห็นในแผนที่ จะเห็นว่า มันจะมีแยกเลี้ยวขวาได้เลย แต่ในความเป็นจริง ไม่ใช่ คือมันถูกบล็อคไปเรียบร้อยแล้ว ต้องขี่ตรงไป เตรียม U-turn กลับมา  มีเรื่องหนึ่ง สำหรับนักท่องเที่ยวที่แวะผ่านมาน่ะ..ยิ่งขี่มากันหนึ่งคน สองคน โดนเรียกแน่นอน 

ก่อนเลี้ยวซ้ายเข้า อ.ชาติตระการ  มีด่านใหญ่อยู่ทุกวัน  รอต้อนรับอยู่    (มีคนบอกมา โดนประจำ แต่เพิ่งมาบอกทีหลังน่ะซิ แอบเซ็งน่ะ จะได้เตรียมรับมือ จัดเต็มซะหน่อย)    

ปิ่นขี่มาอยู่ดี ๆ ตำรวจเรียกให้จอด  พยายามเปิดกระเป๋าเป้ที่มัดท้ายมา ปิ่นก็เฮ้ย..ทำอะไร ?  ไม่ขออนุญาตกันก่อนเหรอ ?  เขาชี้ และ สั่งด้วยความอุกอาจว่า "เปิดกระเป๋าให้ดูเดี๋ยวนี้เลย"    โห...พี่  พูดจาแบบนี้ ไม่อยากจะให้ความร่วมมือกับพี่เลย  คือ ปิ่นเคยโดนด่านทำนองนี้ แถบภาคเหนือ มาบ่อย   ส่วนใหญ่จะพูดจาดี เรียบร้อย ไม่ทำอะไรวู่ว่าม เท่าด่านนี้ 

ปิ่นมีกระเป๋าคาดเอวอยู่ ใส่ของมีค่าไว้  ตำรวจนายหนึ่ง เดินมา รูดกระเป๋าเลย  ปิ่นปัดมือเขาไป   "ทำอะไรของคุณน่ะ"    แหม..เป็นใครก็เป็นต้องของขึ้น  

ปิ่นก็ถอดหมวกกันน็อคออก   เขาถามว่า ผู้ชาย หรือผู้หญิง  ปิ่นตอบไปว่า "ค่ะ!"  เสียงดัง ให้ได้ยินชัด ๆ   ตำรวจที่ยืนรุมกันอยู่ 6 นาย พากันเงียบ  แหง็ม... เป็นสุภาพบุรุษนะเธอร์....น่าด่ากันจริง ๆ   

ปิ่นถามว่า "จะหาอะไร?"  พร้อม ๆ เปิดกระเป๋าเป้ ให้ดู เอ้า ไม่มีของผิดกฎหมายใด ๆ  

เขาตอบว่าไงรู้มั้ย ?  "ทุก ๆ อย่างเลย "  ปิ่นก็ถามกลับไปว่า  "ทุก ๆ อย่างเนี่ย แบบไหน ? "

ความจริง  ปิ่นน่าจะถามกลับไปว่า "หาโกเต็กเหรอ?"   แหม่.. ได้แต่ หึหึหึ ในใจ ก็ว่าไปงั้นแหละ

มานน ตอบว่า "ทุก ๆ อย่าง รวมทั้งยาเสพติด"   ตอบได้กวนจริง ๆ 

ปิ่นก็เก็บของไปตามเดิม ตำรวจ ไม่ยอมช่วยเลย.. รื้อซะเละ ไปหมด  แถมยังมาขอดูใบขับขี่ บัตรประชาชน  ดูไปเพื่ออะไรมิทราบ ? 
ขอบอกว่า เป็นครั้งแรกเลย ที่โดนรื้ออย่างละเอียด  แถมยังเจอพูดจา ด๊อก ด๊อก ได้อีก   ต้องมายืนมัดให้เข้าที่เดิมได้อีก 

ช่างเขา  เสียเวลาตรงนี้ไปกว่า 20 นาที     น่าจะติดกล้อง Gopro ก็ดีนะ จะได้บันทึกภาพบทสนทนา สนุก ๆ มาฝากกัน  


ขี่เข้าเส้น 1296 ต่อไป  ยัง อ.ชาติตระการ  ถนนดีมาก ทางเรียบดี    แต่ขอบอกว่า หลงทางอ่ะ  เพราะหาทางเข้าอุทยานแห่งชาติน้ำตกชาติตระการไม่เจอ  เพราะเขาทำป้ายได้งง ดีแท้  ไม่รู้ว่า ไอ้ทาง ตัว Y น่ะ..มันมีแยกถัดไปอีก แยกหนึ่ง   GPS มันพาหลงไปวิ่งรอบตัวอำเภอเมืองชาติตระการ 1 รอบแน่ะ  ออกมาใหม่ ก็เจอทางออก แหม่...  

จริง ๆ น้ำตกชาติตระการน่ะ  เดิมที ไม่ได้ตั้งใจแวะนะ แต่มีคนแนะนำให้แวะไปชมดูบ้าง  มันสวยนะ  ห่างจากเมืองไปแค่ 10 กิโลเมตรเอง    ก็เลยขี่แวะไปชมซะหน่อย   มันก็สวยจริง ๆ นะ เสียดายน้ำน้อยไปนิดหนึ่ง







มองหน้าผาน้ำตกแล้ว ปิ่นนึกสนุก อยากจะไปปีนหน้าผาบ้าง  (ชอบกีฬา Rock cimbling เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว)   มองแล้วคันมือมาก ๆ  อยากปีนชะมัด    ฮึ๋ยยย.. บ่ายโมงครึ่งแล้ว ท้องร้องกิ่ว ๆ  โครกครากก..    

ก็เลยมองหาอะไรทานซะหน่อย  ดีที่ว่า มีร้านอาหารตามสั่งตรงทางเข้าน้ำตก มีเปิดให้บริการ   ค่อยยังชั่ว 

ได้คุยกับ จนท. อุทยาน ไปด้วย  เขาบอกว่า " ไม่ต้องห่วงครับ  ภูสอยดาวมีบ้านพัก  walk-in ได้เลย"  เย้..รอดไปอีกคืน  อิอิ 

ถ้าใครจะมาพักที่ อช. ภูสอยดาว ประมาณ สี่โมงเย็น หรือ ห้าโมงเย็น  แนะนำให้ซื้อข้าวกล่อง จาก อช.น้ำตกชาติตระการติดมือไปด้วย  เพราะบน อช.ภูสอยดาว ไม่มีร้านค้าให้บริการน่ะ  ยิ่งวันธรรมดา ก็ไม่มีอะไรให้ทานแล้ว ปิ่นเองก็เพิ่งรู้  โชคดีมาก ที่ได้รับข้อมูลมาก่อน   ไม่งั้น ปิ่นคงอดตายเป็นแน่ ๆ   ยกเว้นว่า  ไปบริเวณน้ำตกภูสอยดาว  อาจจะมีร้านขายข้าวให้บ้าง แต่ไม่ค่อยสะอาดนัก  ปิ่นเคยมาแล้ว อย่างที่เล่าไปข้างต้นนั้น ว่า เคยมาปีนขึ้นภูสอยดาว  ร้านนั้นยังอยู่ที่เดิม ตรงด้านล่างน่ะ  

ปิ่นจึงสั่งข้าวกล่องติดมือไปด้วย สำหรับมื้อเย็น จะได้ไม่อดข้าว  ไม่หิว  ต้องสะสมพลังงานอย่างต่อเนื่อง  จะได้มีแรงขี่รถไปยาว ๆ 

ออกจากน้ำตกชาติตระการขี่ต่อไปยัง น้ำตกภูสอยดาว  แต่ถนนสวยมาก..  อ่ะ..ถ่ายรูปมาฝากด้วยแน่ะ  ขี่จนเพลินเลย ลืมเวลาไปด้วยเลย  อย่างที่เคยพูดไว้ว่า

"It felt good! It felt like everything else just disappears. No past and no future. No problems. Just the moment"











ระหว่างขี่รถอยู่  ได้ยินเสียงรถบรรทุก 6 ล้อ ตามหลังมา   ปิ่นมองผ่านกระจกมองข้าง..ไม่รู้ทำไม สัญชาตญาณสั่งให้ปิ่นชะลอความเร็ว แล้วให้รถคันนี้แซงขึ้นไป ปิ่นจึงเชื่อสัญชาตญาณตัวเอง     ปรากฎว่า รถคันนี้เป็นรถรับส่งนักเรียนนั่นเอง  บรรดาเด็ก ๆ วัยประถม จำนวนกว่า 20 คน   พากันร้องส่งเสียงโหวกเหวก พร้อมชูนิ้วโป้ง ทักทาย   ร้องว่า "สุโค่ยยย!!" แถมส่งรอยยิ้มมาเพียบเลยด้วย      

ปิ่นร้อง "ว้าว !"  ในหมวกกันน็อค   เซอร์ไพรส์จริง ๆ ที่มาเจอพวกเด็ก ๆ เหล่านี้   ปิ่นก็โบกมือ  ทักทายตอบ  โชคดีที่แว่นตาดำของปิ่นพังไปซะแล้ว เด็กจึงดูออกว่า ปิ่นกำลังยิ้มอยู่"     เป็น Moment ที่น่าประทับใจมาก  ไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน  โชคดีมาก ที่ได้ขี่หลัง 3 โมงเย็น    วินาทีนั้น ทำให้ปิ่นได้ตั้งเป้าหมายอย่างแน่วแน่ว่า  ปี 2014 ต้องถอย กล้อง gopro มาติดซะแล้ว    แย่หน่อยที่หยิบกล้องถ่ายรูปมาถ่ายไม่ได้ เพราะเป็นมือถือน่ะ ต้องถอดถุงมือ จึงจะถ่ายได้    รถบรรทุกคันนี้ ขับไปอย่างเรื่อยเปื่อย  ปิ่นเห็นว่า เขากำลังจะจอดรถส่งนักเรียนด้านหน้านี้  ปิ่นจึงส่งสัญญาณเปิดไฟเลี้ยวขวา เพื่อแซงขึ้นไป  เด็ก ๆ ร้อง "เย้ !!!"    เป็นน้ำเสียงที่มีชีวิตชีวามากเลย  ไม่ได้ยินมานานมากล่ะ 

ถ้าใครอยากเจอ moment ที่ปิ่นเจอนั้น  ขอแนะนำ ให้ขี่มาหลังสามโมงเย็นนะ กำลังดีเลย  เป็นช่วงรถโรงเรียนมารับส่งเด็กตามหมู่บ้านต่าง ๆ ในภูเขาน่ะ   คือ ปิ่นเคยออกค่ายอาสา ฯ มา 4 ปี จึงเข้าใจความเป็นอยู่ของชาวบ้านในแถบภูเขาเป็นอย่างดี  มักจะมีรูปแบบการใช้ชีวิตแทบจะคล้ายกัน เกือบทุกหมู่บ้าน  เพราะมีอาชีพหลัก  "เกษตรกรรม" น่ะเอง  อยู่คู่กับชาวบ้านในแถบชนบทมาอย่างยาวนาน   

ถ้ามาวันศุกร์นะ  ยิ่งดี  จะเจอเด็ก ๆ เต็มท้ายรถกระบะ  เพราะเด็ก ๆ จะกลับบ้านเข้าหมู่บ้านที่อยู่ในหุบเขาลึกเข้าไปอีก หลายกิโลเมตร 
ค่อย ๆ ขี่ไปเรื่อย บนถนนคดเคี้ยว ขึ้น ๆ ลง ๆ เขา อย่างเพลิดเพลิน  ระหว่างทางได้พบ  Biker ระดับ entry สอง ท่าน สองคัน  ได้พยักหน้าทักทาย  มันฟิลกู๊ดจริง ๆ หวังว่า คงได้เจอกันในเวปใดเวปหนึ่งนะ    

เจอแยก "ร่มเกล้า"  ซ้าย ไปอ.บ้านโคก  ขวา ไปอ.นาแห้ว ทะลุไปจ.เลยได้






ไม่ทราบเหมือนกันว่า ทำไมหยุดจอดตรงนี้  เป็นคนอื่น อาจจะไม่สนใจ เลี้ยวซ้ายไปเลยใช่ไหม ?  คือ ยังไงดีนะ  ในหัวปิ่นสั่งให้จอด ๆ ๆ เลย  จึงขอจอดดูสักพัก มีตำรวจตระเวณชายแดน ท่านหนึ่งออกจากห้องพักสำหรับ สายตระเวณชายแดน  ออกมาต้อนรับปิ่นอย่างดีมาก พูดคุยเป็นกันเอง  ต้องขออภัยด้วยที่จำชื่อไม่ได้ แปลกดี  ปิ่นจำบทสนทนาได้อย่างแม่นยำ ราวกับว่า เพิ่งคุยกันไปเมื่อวานนี้เอง    แต่คุยกันสนุกมาก  หลาย ๆ เรื่อง




ปิ่นถามเขาว่า "ทำงานแถวนี้มานานหรือยังคะ ? "
เขาบอกว่า "ผมอยู่ประจำการที่นี่ มา 12 ปีแล้วครับผม"  พูดจาเพราะมากก  ผิดกับไอ้ตำรวจด่านที่ปิ่นเพิ่งโดนมาเลยนะนั่นน.. 
ปิ่นจึงสนใจในตัวเขามากขึ้นไปอีก  เขาได้เอ่ยว่า มาเที่ยวเหรอครับ? 

ปิ่น : "ค่ะ มาขี่รถเที่ยวค่ะ อยากกลับมาชื่นชมธรรมชาติน่ะ เบื่อกรุงเทพมาก ๆ เลย" 
ตร.  "ดีครับ  ผมก็ชอบที่นี่  มันสดชื่น สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด"  พร้อมทำท่า ยืดอก สูดดมไปอย่างฟิน ๆ 
ปิ่นก็ยื้ม "จริง  มันอากาศดีจริงๆ  แต่ตอนนี้อากาศเย็นแล้วเนอะ"
ตร. "ที่นี่อากาศเย็นแบบนี้ตลอดปีแหละครับ" 
ปิ่น "จริงอ้ะ ?" 
ตร.  "ครับผม  ยกเว้นหน้าร้อนนะครับ อันนั้น จะร้อนนิดหน่อย" 
ปิ่น "ดีจังนะ อิจฉาคุณมาก ๆ เลย ที่ได้ทำงานตำรวจตระเวณชายแดน คอยดูแลเฝ้าระวังให้เรา"
ตร. "ขอบคุณครับ ว่าแต่รถสวยดีนะครับ มาคนเดียวเหรอครับ?" 
ปิ่น "ใช่ค่ะ มาคนเดียว ว่าแต่หิวน้ำจังอ้ะ"
ตร. ท่านนี้รีบจัดแจง เสริฟ์น้ำให้เลย  โห...เยี่ยมไปเลยอ่ะ 





คุยต่ออีกนานนเลยล่ะ  คุยกันเยอะมาก  ปิ่นได้ถามว่า หมาตัวนี้ กัดไหม ? 
เขาบอกว่า ไม่กัดครับ แต่อย่าเพิ่งไปกวนเลย มันง่วงนอน 
ปิ่นก็อดเล่นกับหมาตัวนี้   มันน่าฟัดจริงๆ เนอะ   

ก้มลงดูนาฬิกา จะสี่โมงครึ่งแล้ว  
จึงขอตัวลาขี่รถต่อไปอีก 13 กิโลเมตร  เขาบอกว่า "ขี่ระวังด้วยนะครับ โค้งเยอะ  ขี่ปลอดภัยครับ" พร้อมทำท่าตะบ๊ะ ทำความเคารพอย่างให้เกียรติและศักดิ์ศรี  เขาดูดีมากเลย   ให้ตายเถอะ  คุณได้ใจปิ่นไปหมดเลย   ไว้มาเที่ยวอีกนะ ปิ่นก็พยักหน้าขอขอบคุณที่ได้คุยกัน   



ไม่กี่นาทีต่อมา เจอทางเข้าบ้านพัก อช.  เย้..ถึงแล้ว   มีที่พักให้ด้วย คืนละ 600 บาท บ้านพักน่ะ เย็นมาก ๆ  จนท.อช. ที่นี่ น่ารักมาก บริการให้อย่างดีมาก  ทำเอาประทับใจได้อีก   จนท.เห็นรถปิ่น พร้อมโบกมือ เข้าไปจอดหน้าบ้านพักได้เลยนะครับ   โอ้..ขอขอบคุณมาก ๆ ปิ่นวิ่งเอากระเป๋าไปเก็บในบ้านพัก  แล้วขี่ตัวเปล่า ๆ ไปยังน้ำตกภูสอยดาว 

มันยังเหมือนเดิมจริง ๆ ด้วย ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย  คิดถึงจัง  ยังสวยเหมือนเดิมแฮะ 

จอดรถถ่ายรูปเป็นที่ระลึกซะหน่อย แซะ ๆ ๆ








พอจะกลับเข้าที่พัก  แต่ถนนระหว่างทางเข้าน้ำตก กับ ที่พัก อช.  เนี่ย มันส์อ่ะ  ก็เลย ขี่ไปกลับ 3 รอบ เอาให้สดชื่นซะหน่อย มีโค้งน่าฟัดก็เลยฝึก ๆ  ซ้อมมือเตรียมขึ้นดอยภูคา  อิอิ




บ้านพักหลังนี้น่ะ  พื้นเย็นมาก ๆ  อากาศเริ่มเย็นลงมากขึ้น  ปิ่นได้เผลอหลับไป ตื่นมาใหม่อีกรอบ  เพราะ Line มันดัง 

อ้อ ลืมไป เพิ่งนึกได้  ถ้าจะมาอช. น้ำตกภูสอยดาวนะ  ที่นี่ไม่มีสัญญาณมือถือทุกค่ายเลยนะ ตำรวจชายแดนก็บอกเหมือนกัน ว่า แถวนี้ไม่มีสัญญาณมือถือ  เพราะอยู่ในหุบเขา  มันบังสัญญาณหมด จึงต้องไปทางอ.นาแห้ว  3 กิโลเมตร  จะได้รับสัญญาณมือถือชัด   

อช.ภูสอยดาวเขามี Wifi ให้บริการฟรีน่ะ จึงสามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้อย่างไม่ติดขัด  ยอดเยี่ยมจริง !   


Day 2 

ตื่นหกโมงเช้า อูย...หนาวมากก  อุณหภูมิ 9 องศาแน่ะ อยากนอนซุกใต้ผ้าห่มต่ออีกจัง  ไม่อยากจะล้างหน้า แปรงฟันเลย น้ำมันเย็นมากกกกกกก  ได้แต่สบถคำหยาบในใจดัง ๆ       

ต้องล้อหมุน 7 โมงเช้า ดีที่ว่า ปิ่นมีโอวันติน ในบ้านพัก มีกระติกน้ำร้อน  ต้องทานรองท้องไว้ เพือไปทานข้าวที่ ตัวอำเภอ บ้านโคก ที่ห่างออกไป 40 กิโลเมตร  วันนี้ต้องขี่ไกลมาก  ๆ  ด้วยกว่าจะไปถึงบ่อเกลือก็มืดล่ะ 

หนาวชะมัดดด.. ยังจำความรู้สึกนี้ได้ดี   พื้นเย็นเจิ๊ยบ ขนาดใส่ถุงเท้านะนั่น  ต้องจำใจขอเสียมารยาทหน่อยนะ ใส่รองเท้ามันซะเลย ไม่ไหว  บ้านพักเย็นเจิ๊ยบไปทั้งหลัง  เพราะไม่สามารถปิดหน้าต่างได้ มันติดน่ะ  บางบานปิดไม่สนิท  อากาศเย็นจากข้างนอกเข้ามาได้ง่ายมาก  

สุดท้ายใส่เสื้อ 2 ชั้น เอาผ้าเช็คตัวพันคอไว้ ไม่ให้ลมเย็นเข้าไปในเสื้อแจ็คเกตมอเตอร์ไซค์ 

เอากุญแจไปคืนจนท. อช.  ขี่ออกมา ได้พักหนึ่ง เจอหมอก อยู่ตรงหน้าเรา นึกว่า เราอยู่ในหนังเรื่อง The mist  (หมอกพิฆาต)  ทำเอาชวนให้เสียว อิ อิ กลัวว่า จะมีสัตว์ประหลาดโผล่มามั้ยนะ ? เฮ้ย..ตื่น ตื่น ไม่ได้ถ่ายทำหนังฮอลลีวู้ดนะ 

วิวที่อยู่ด้านล่างเราน่ะ มีแสงอาทิตย์ส่องแล้วนะ แต่บนเรา ยังอยู่ในหมอกกันอยู่เลย มันสวยมากเลยนะ  เสียดายความสามารถของกล้องมือถือ ไม่สามารถถ่ายทอดได้อย่างเต็มที่    ให้ตายเถอะ มันสวยจริง ๆ






ขี่ต่อไป  ถนนสวยมาก  เลี้ยวไปเลี้ยวมาอย่างสนุกสนาน  มาเจอแสงแดดแรก ของวันนี้  ว้าว !  ภูสอยดาว !!!  อยู่ด้านหลังปิ่นเอง  สวยมากเลยอ่ะ ต้องหยุดจอดรถเดี๋ยวนั้นเลย   ให้ตายเถอะ ยืนดูอยู่นานมาก ลืมไปว่า ต้องรีบขี่ไปให้เร็วที่สุดสำหรับวันนี้  คือ มันสวยจริง ๆ นะ โชคดีมากที่ได้ตัดสินใจพักที่บ้านพัก อช.ภูสอยดาว แล้วออกมาตอนเช้า ๆ เจอ moment ที่สวยงามมาก







ต่อไป ไปเติมน้ำมันที่บ้านโคก  ถนนค่อนข้างแย่หน่อยนะ  เป็นทางราบ มีหลุมบ่อเยอะ  ไม่ค่อยมีทางคดเคี้ยวแล้ว  แต่..ระหว่างทางมาเนี่ย  จะพบบรรดาเจ้าสี่ขา พากันนอน กลางถนน ตากแดด ให้ตัวได้อบอุ่น เป็นสิบ ๆ ตัว   แต่ละตัว น่ารักไปหมด  อยากจะอุ้มเอากลับไปเลี้ยงที่บ้านจริง ๆ  

ถ้าจะไปทางนาน้อย ผ่าน อช. ศรีน่านนะ  ควรเติมน้ำมันไปจากอ.บ้านโคกให้เต็มถังไว้ก่อน  ไม่ว่า น้ำมันเหลือแค่ไหนก็ตาม ก็ต้องเติมไว้  เพราะระหว่างทางไปนาน้อย ไม่มีปั้ม  ไม่มีบ้านคนแล้วนะ  

เจอแต่ปั้มหลอด  ไม่มีปั้มใหญ่  จึงได้ถามชาวบ้านแถบนั้นว่า มีปั้มใหญ่ไหม ? เขาบอกไม่มี   ขี่ต่อไป ถามชาวบ้านที่ขายปั้มหลอด  เขาบอกว่า ไม่มีปั้มใหญ่  แต่มีชาวบ้านบอกว่า "มี เลี้ยวซ้าย ตรงไปอีก 10 กิโลเมตร จะมีปั้มบางจาก"  ปิ่นถามว่า แต่ปิ่นจะไปนาน้อยน่ะซิ  ต้องเลี้ยวขวาน่ะ   แต่...มีเซอร์ไพรส์อีกแล้ว ทำเอาปิ่น เซ็งไปเลย 55555+  

ปิ่นมองป้าย หน้าปั้มหลอด มันมีคำว่า "โซล่า"  กับ "เบนซิน"   ไม่ได้เติมปั้มหลอดมานานแล้ว  นับตั้งแต่ทริปขี่รถเวฟลุยแม่ฮ่องสอน เมื่อ 4 ปีก่อน     

ปิ่นอ่านคำว่า "โซล่า" เร็ว ๆ เป็น "โซฮอล์"   แต่หยุดถึก  ไม่แน่ใจว่า เขาเขียนผิดหรือเปล่า ? จึงถามคนขายว่า  "พี่..โซล่า คืออะไรอ่ะ ?"  เขาบอกว่า "ดีเซล"  ปิ่นก็ห้ะ..  ขอพูดใหม่ซิ    "น้ำมันดีเซล"   ปิ่น ก็ใบ้เอ๋อ..อยู่นานมาก.. เพิ่งจะเคยได้ยินเนี่ยแหละ ว่า "โซล่า"  คือน้ำมันดีเซล"  เกือบซวยมั้ยล่ะ  เกือบเติมน้ำมันดีเซล ใส่รถนินจา 







ก็เลยขยับรถมา เติมเบนซิน ไป  5 ลิตร 215 บาท  ไม่แพง 

เติมเสร็จ  ก็ลาจากพวกเขา เขาต้อนรับดีมากเลยนะ  น่ารักมาก ๆ  

ไปทานข้าวร้านหนึ่ง  เห็นเขาว่า กันว่า "ใส่แตงกวาเยอะมาก"   ซึ่งเป็นเรื่องจริงแฮะ  ใส่แตงกวาเยอะจริง  อร่อยใช้ได้นะ


ทานเสร็จแล้ว ขี่ออกไปจากอ.บ้านโคก เลี้ยวขวา เพื่อเข้าเส้น อช. ศรีน่าน   ไปสัก 10 กิโลเมตร เจอปั้มน้ำมัน บางจาก เล็กๆ  ได้แต่ร้องอุทานในใจ  "เชี่ยะละ... ไหนบอกไม่มีปั้มไง ?  แต่ดันบอกทางผิดซะงั้น แหม่ !"    

สบถในใจแล้วไป  ขี่รถต่อไป ยัง อช. ศรีน่าน  เขาว่า ถนนสวยมาก   แต่เกือบหลงทิศเหมือนกันนะ 

เพราะป้ายบอกทางไม่ชัดเจน ต้องเปิด GPS นำทางไป   ดีที่ว่า เจอ ตำรวจตรง 3 แยก เขาได้ชี้ทางให้ใหม่  ก่อนเลี้ยวเข้า เส้น 1083  มันไม่มีป้ายบอกน่ะ   
ถนนเส้น  1083  เงียบมากก  แทบไม่ค่อยมีรถสวนทางกันเลย  ทางธรรมชาติล้วน ๆ    ถนนเป็นถนนกรวด ไม่สามารถเทเข้าโค้งได้แรง ๆ  เพราะไม่ใช่ถนนลาดยางชั้นดี  แต่ก็วิ่งได้เรื่อย  ๆ นะ















วิวสวยมาก  มีโค้งให้เล่นอย่างประปราย  มาเจอป้ายเตือนว่า "โค้งนี้ เสียวสุดๆ  " จึงจอดซะหน่อย  ไหน  ๆ  เสียวจริงเปล่าาา???? 

อ่ะ  อย่าให้มุมถ่ายหลอกตาคุณได้นะ   ให้ไปดูด้วยตัวตาตัวเองดีกว่านะ น่าสนุกดีออกน่าา












วิวผาชู้ สวยมาก  สะใจจริงๆ  เส้น 1083  นับว่าเป็น ถนนลอยฟ้า  อีก เส้นหนึ่งนะ    ไม่น่าเชื่อว่า ได้เห็นเส้นขอบฟ้าที่ยาวเหมือนไม่มีที่สิ่นสุดและจังหวะการขี่มอเตอร์ไซค์บนถนนลอยฟ้ามันให้ความรู้สึกดีจริง ๆ   

ดีใจมากที่ได้ออกทริปครั้งนี้   I'm living without regret.



วารป์มายังเมืองน่าน   เปิด GPS นำทางไปยังร้านกาแฟ ของพี่ชายท่านหนึ่งที่เคยให้ความช่วยเหลือปิ่นเมื่อปีที่แล้ว  เนื่องจาก ไอ้รถนินจาดำ น้ำมันเครื่องขาด  ในใจกลางเมืองน่าน   เขาได้ไปหาน้ำมันเครื่องมาเติมให้ ทำให้รถวิ่งไปได้ต่อจนจบทริป  และช่วยหาที่พักให้ปิ่นด้วย  ต้องขอบคุณสำหรับน้ำใจที่ได้รับมา    พี่ตั้ม (กิง การณา) 

จึงได้แวะมาอุดหนุน  และพูดคุยกัน    เสียดายเวลามีน้อย จึงต้องขี่ไปยังอ.บ่อเกลือก่อนฟ้ามืด   

จำใจต้องลาจาก  ด้วยมิตรน้ำใจที่หาได้ยากยิ่งในสังคมปัจจุบันนี้ 

ขอขอบคุณสำหรับน้ำอิตาเลี่ยนโซดา ทำให้ปิ่นรู้สึกสดชื่นมากไปอีก





บรรยากาศในตัวเมืองน่าน ยังเหมือนเดิม  ปิ่นชอบเมืองน่านตรงที่ไม่เหมือนที่ใด ๆ  ในประเทศไทยเรา 

เคยทราบไหมว่า "เมืองน่าน" น่ะ หรือ "นันทบุรีเมืองน่าน"  แห่งลุ่มน้ำน่าน เคยเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญของอาณาจักรล้านนาที่มีอายุและความสัมพันธ์ควบคู่มากับอาณาจักรสุโขทัยมาอย่างยาวนาน  คุณคงเคยชมเดินพิพิธภัณฑ์ของเมืองน่านมาแล้วสินะ  ที่นีน่ะ  น่าเดินชมมาก ๆ  ปิ่นเคยเข้าไปเยี่ยมชมมาแล้ว ตอนมาเยือนน่านในครั้งแรก ทำปิ่นประทับใจมาก 

และยังเป็นเมืองที่มีทรัพยากรธรรมชาติโดดเด่นอยู่ตอนเหนือสุดของไทย  ในแนวเทือกเขาผีปันน้ำต่อแนวเทือกเขาหลวงพระบาง ในอตีดน่ะ  บ่อเกลือสินเธาว์น่ะ ที่เจ้าผู้ครองนครหลวงพระบาง และอาณาจักรจีนตอนใต้ ให้ต้องลงทุนนำสินค้ามาแลกเปลี่ยนไมตรี เขาแลกเกลือกกลับไปบริโภคด้วยนะ  ปัจจุบันนี้ บ่อเกลือยังมีให้ชมกันอยู่    วัดภูมินทร์น่ะ เป็นวัดที่มีสถาปัตยธรรมที่สวยมาก

ปิ่นได้ถ่ายรูปเหล่านี้ ตอนมาเยือนน่านในครั้ง ๆ ก่อน








ข้อสำคัญที่สุด คือ แต่ละมุมเมืองในตัวเมืองน่าน ล้วนแต่ไม่มีห้างค้า ไม่มีตึกสูง ๆ เพื่อบดบังความสวยงามแต่เดิมของน่าน   แนวคิดนี้ มีน้อยมาก ในเมืองไทยนะ  ปิ่นเดินทางไปมาหลายจังหวัดแล้ว  ชอบจังหวัดนี้มากที่สุด  แถมยังมีโค้งให้เล่นเยอะมาก วิวก็สวย  ปิ่นโดนเสน่ห์เล่นงานซะแล้ว จึงหลงรักเมืองน่านอย่างหัวปักหัวปำไปซะแล้ว โงหัวไม่ขึ้นเลย   เป็นต้องหวนให้คิดถึงเมืองน่านทุกทีไป  ยังเที่ยวไม่ทั่วเลย จริง ๆ นะ 



ต่อไป ได้ขี่เข้าเส้น 1081 อันเลื่องลื่อ  "เส้นสันติสุข-บ่อเกลือ"   เส้นทางสวรรค์ของนักบิด  ไม่ได้เว่อร์นะ  เรื่องจริง  ใคร ๆ ก็อยากมาขี่เส้นนี้กัน  เพราะมันสวยงามมาก  ถนนเนียน  มีโค้งให้เล่นตลอดกว่า 50 กิโลเมตรก่อนถึงตัวอำเภอบ่อเกลือ   ให้ชมรูปกันเองดีกว่า  ไม่ต้องให้บรรยายกันแล้ว   ชอบมาก แม้ว่า downhill โหดไปหน่อย แต่ขี่สนุก   มีบางช่วงมีหยุดซ่อมถนนอยู่บ้าง












พอถ่ายรูปนี้เสร็จปุ๊ป ยิงยาวเข้าอ.บ่อเกลือกันเลย  ห้าโมงเย็นแล้ว หิวข้าวมาก  ตอนแรกกะว่าจะไปนอนบน อช. ดอยภูคา แต่มันจะมืดแล้ว   เดิมที ต้องไปนอนบนบ้านพักอช. น่ะ  แต่ไปไม่ทันแล้ว มัวแต่โอ้เอ้ ไปหน่อย 

จอดหน้าร้านอาหาร "หัวสะพาน"   ไม่ทราบเหมือนกันว่า ทำไมแวะร้านนี้  แต่ขอบอกว่า รออาหารนานมาก หนึ่งชั่วโมงกว่าแน่ะ  กว่าจะได้ทาน ก็เกือบหกโมงครึ่งแน่ะ  แค่เมนูเดียว "ไก่นะจ้ะ"  หรือภาษาชาวบ้านว่า "ไก่อบเกลือ"  นั่นเอง  จานละ 100 บาท แน่ะ  

ระหว่างรออาหาร จึงได้เดินไปสำรวจหาที่พัก  ได้เดินเลยสะพานไปดู "บ่อเกลือวิว"  สอบถามห้องพักว่างไหม ? เขาบอกว่า "เต็มแล้ว"  ปิ่นก็เศร้าใจ  แต่ได้สังเกตว่า มีรถ Nissan GTR สีขาว จอดอยู่ ไม่ได้เอะใจว่า  มีเซอร์ไพรส์กันอีกแล้ว   จึงได้ถามเขาต่อว่า มีที่พักอื่น ๆ ว่างอยู่ไหม ? เขาบอก "ไม่ทราบ"  

เดินหน้าจ๋อย เจอแมวนั่งนอนหน้าแผนกต้อนรับ  ก็เลยถ่ายแก้เศร้าหน่อยหนึ่ง







จึงต้องไปรบกวน ตำรวจ อ.บ่อเกลือ ช่วยหาที่พัก  โชคดีที่ว่า ที่ป้อมตำรวจ มีเบอร์โทรที่พัก บนกระดานดำ  จึงโทรไปยัง "บ่อเกลือฟ้าใส"   มีบ้านพักว่างอยู่พอดี  โชคดีจัง  ตำรวจที่นี่มีน้ำใจจัง   นึกว่าต้องนอนกลางถนนซะแล้ว แต่ที่นี่ บ่อเกลือ สวยมาก อยู่ในหุบเขา  อากาศเย็นกว่าภูสอยดาวซะที   ได้ดูปรอทอุณหภูมิ มันบอก "10 องศาแน่ะ"  บรือออ..หนาวชะมัด  หัวก็เย็นแล้ว  ดีที่ว่า ใส่โม่งไว้ หัวจึงไม่เย็น   

ตำรวจบอกว่า "บนดอยภูคา 3 องศาแน่ะ.."   ปิ่นร้องเหวอไปเลย    เพราะเสื้อผ้าที่เอามา ไม่พร้อมแน่ ๆ  ขืนขี่ต่อไปนะ หนาวตายแน่ ๆ   และไม่แน่ใจด้วยซิ ว่า บนนั้นจะมีบ้านพักว่างไหมนะ ?    ที่แน่ ๆ  ปิ่นไม่อยากขึ้นไปง่ะ สู้ความหนาวที่อุณหภูมิ 3 องศาไม่ไหว  ขอยกธงขาวยอมแพ้  นอนที่อ.บ่อเกลือแหละดีแล้ว ดีกว่าไปนอนให้ทรมานเล่น ๆ บนดอยภูคา  บรือออ...




อยากดื่มเบียร์มาก ๆ แต่ต้องอดใจไว้  ออกทริปอยู่น่า..เดี๋ยวร่างกายแฮงก์เอา  ได้แต่มองตาปริบ ๆ บรรดาลูกค้าในร้านนี้ 

ทานอาหารเสร็จแล้ว  ไก่อร่อยมาก แต่เค็มไปหน่อย    อยากให้ทุกคน มาทานด้วยกันจัง   บรรยากาศที่นี่ มันดีมาก จริง ๆ นะ ดีกว่าเมืองปาย แม่ฮ่องสอนด้วยซ้ำ    ปิ่นเคยไปปาย มา 6 รอบแล้ว



แล้วขี่ต่อไปยังที่พักที่ห่างออกไป กว่า 1 กิโลเมตร  เจอพนักงานที่พัก เปิดไฟฉาย  รอต้อนรับปิ่นอยู่   ดีจัง บริการดีมาก ๆ เขาทราบว่า ปิ่นจะมาพักที่นี่หลังจากตำรวจโทรไปจองให้  

ราคาบ้านพักที่นี่ คืนละ 700 บาทเอง  แต่บ้านใหญ่มากนะ  นอนได้ 3 คน  มีอุปกรณ์ให้ครบครันกว่า  มีกระติกน้ำร้อน ไว้ให้ด้วย    ที่นอนน่านอนมาก   นอนหลับอย่างฝันดี 


Day 3 

ตื่นสายไปหน่อย เพราะมันหนาวมากกกกก..  เพิ่งจะเจ็ดโมงเช้า  อุณหภูมิตั้ง 8 องศาแน่ะ..โอยย..หนาวมากมาย นอนซุกใต้ผ้าห่มต่อหน่อยน่า.. ไม่อยากจะตื่นเลย  แต่ต้องตื่น    โดนคนใจร้าย Line มาปลุกง่ะ   7 โมงเช้าเลย    คุยไปคุยมา ต้องตื่นซะแล้ว รอให้อากาศอุ่นขึ้นหน่อย พอแสงแดด มาแล้ว  เจอเซอร์ไพรส์แต่เช้าเลย  ..ร้อง "ว้าว"  อีกแล้ว   ไม่น่าเชื่อว่า เราได้พักในบ้านพักอยู่ในหุบเขา สวยขนาดนี้เชียว ไม่เชื่อสายตาตัวเองจริง ๆ  ขนาดคนที่เคยมาพักบนดอยภูคามาหลายครั้งแล้ว   ยังร้องว้าวเลย   

วิวโดยรอบ มันสวยมาก   อยากอยู่ต่ออีกจัง ให้ตายเถอะ  ปิ่นได้อัพโหลดรูปถ่ายนี้ ลง Facebook  แบ่งปันความประทับใจผ่าน social network ให้เพื่อนๆ โดยทั่วกัน   ได้เดินเล่นรอบ ๆ  ที่พัก








ใกล้จะ 9 โมงเช้าแล้ว ต้องรีบออกเดินทางกันได้แล้วนะ  ไปพิชิตดอยภูคาที่ปิ่นตั้งตารอมานาน ได้แล้ววววว

แต่ยังไงกองทัพต้องเดินด้วยท้อง จึงแวะไปทานข้าวตรงริมสะพานเหมือนเคย  ระหว่างนั่งรออาหารอยู่ เห็นรถ  Porche สีเหลือง วิ่งลงมาจาก บ่อเกลือวิว  แล้วจอดรอด้านหน้าเราไปนิดเดียว  ปิ่นก็เอะใจ..รอใครอยู่หรือเปล่า ?





ไม่กี่สิบนาทีต่อมา  ปรากฎว่า มีรถ lamborghini สีเขียว กระทิงดุจากแดนสเปน สีเขียวโผล่ออกมา ปิ่นก็อึ้ง ร้องอุทานในใจว่า "เฮ้ย...มี supercars มาที่นี่ด้วยวุ้ย !"    

คันต่อมา จะเป็น Audi R8   ตามด้วย Lamborghini สีแดงจ๋า    ต่อด้วย  สีส้ม   

ถัดไป Nissan GTR ที่ปิ่นเห็นเมื่อเย็นวานนี้   แล้วก็ฝูง Lamborghini อีก 3 คันสีเหลือง เทา แดง  

ปิ่นมัวแต่ยืนตะลึงไปหน่อย ลืมเปลี่ยนกล้องโหมดถ่ายรูปเป็น วีดีโอ  ต้องขอโทษด้วยจริงๆ  ลืมถ่ายเป็นวีดีโอ  เสียงเพราะมาก..กดกันดังลั่นหุบเขา   ออกไปพ้นจากสายตาปิ่นซะแล้ว









ไม่น่าเชื่อว่า เจอฝูง supercars  ในหุบเขา บ่อเกลือแห่งนี้   เป็นเซอร์ไพรส์มาก ๆ 

ชอบจังที่ใช้ชีวิตแบบเจอเซอร์ไพรส์ได้ตลอดแบบนี้  ชีวิตจะได้ชุ่มชื่นนน    

"Life is full of surprise. We should be expection for unexpected and enjoy with the flow, that's how we roll." 

ปิ่นเชื่อว่า... ถ้าใครมาเจอฝูง supercars แบบนี้นะ  มีสิทธิ์เปลี่ยนใจได้นะ   คว้ามอเตอร์ไซค์คู่ใจของคุณ ไปดวลกัน หวดโค้งกันเลยไหม ?  ที่เส้น 1081  อิ อิ    รับรองว่า ทุกคนร้อง เย้..  คว้าหมวกกันน็อค ใส่ถุงมือ พร้อมออกศึกกันถ้วนหน้า  

ก่อนล้อหมุน เตรียมตัวขึ้นดอยภูคา  ปิ่นได้ส่งรูปรถเหล่านี้ไปให้คน ๆ  หนึ่ง  เขาอุทานเลยว่า "เหวย...!! โหนโค้งแข่งกะนินจา เอาป่าว "   อ่านคำตอบของเขา  ทำเอาปิ่นยิ้มหุบไม่ลงเลย   ปิ่นเชื่อว่า เขาทำได้แน่นอน แซงฝูงรถเหล่านี้ได้หมดทุกคันได้ในโค้งโหด ๆ  หมดแน่นอน  ทำเอานึกถึงหนังฮ่องกง เรื่อง "ผู้หญิงข้า ใครอย่าแตะ"   ทำปิ่นหัวเราะฮาา..ไม่หยุดตลอดทาง   ได้แต่จิตนาการไปเท่านั้นแหละเนอะ 


ระหว่างทางขึ้นดอยภูคา  ทางแคบลงเรื่อย ๆ โค้งจัดมาก  ถนนก็ลื่นมาก  ดีนะที่ไม่ได้มาตอนหน้าฝน มีหวังกลิ้งลงเหวแน่นอน







ได้เจอต้นชมพูภูคา  จริง ๆ นะ บนอช. ดอยภูคา ยังมีต้นชมพูภูคาอยู่ เป็นสิบต้น   เสียดาย ดอกยังไม่บานเลย





ทราบไหมว่า ชมพูภูคาน่ะ  เป็นพรรณไม้หิมาลัยนะ.. ที่เคยพบเห็นกันทางแถบหุบเขามณฑลยูนนาน ของประเทศจีน  กับตอนเหนือของเวียดนาม  แต่ช้าก่อน..ไม่ค่อยมีให้เห็นกันแล้วนะ  เพราะมัน "หายากและใกล้จะสูญพันธ์กันแล้ว"   จะเห็นก็เฉพาะที่นี่ที่เดียวในโลกเท่านั้น  เห็นไหม ?  เราคนไทยโชคดีมากเลยนะ มีของล้ำค่าอยู่ในผืนดินประเทศไทย   ถ้าจะอยากเจออะไรที่มันน่าตื่นเต้น ต้องเที่ยวแบบดิบ ๆ นะ  จึงจะได้พบเจอสิ่งใหม่ๆ  
เวลามันออกดอกนะ  จะเป็นช่อสีชมพูยาวมาก  ปิ่นเองก็ยังไม่เคยเห็นมันออกดอกเลย ต้องมาเดือนกุมภาพันธ์น่ะ  ไม่ทราบเหมือนกันว่า จะได้มาดูไหม ? เพราะเดือนกุมภาพันธ์ หาวันว่างยาก สำหรับมานุด(มนุษย์)เงินเดือน 


มา มา ขี่รถต่อ  เย้..สำเร็จแล้ว  ได้พิชิตดอยภูคาสำเร็จแล้ว   สมใจอยากเลย วิวบนนี้สวยจริง ๆ นะ เสียแต่ต้นไม้มันสูงไปหน่อยเนอะ    อากาศเย็นดีจริง ๆ  มาดูกัน  อุณหภูมิต่ำสุด  3 องศา เห็นไหม?  ปิ่นไม่ได้โม้นะ   ตำรวจที่อ.บ่อเกลือ ก็ไม่ได้โม้เช่นกัน  ฮ่า ฮ่า  เย็นวุ้ย.. ตอนปิ่นถ่ายรูปตรงนี้น่ะ  เพิ่งจะ 10 โมงครึ่งเอง   อุณหภูมิอยู่ที่ 11 องศาอยู่เลย   

บ้านพักอช. สวยมาก น่าพักมากเลย  ไม่เอาเกวียนนะ  มีหวังนอนหนาวตายกันพอดีอ่ะ










เดินชมดูนิทรรศการ  เพิ่งทราบว่า  ความสูงจากระดับน้ำทะเลของดอยภูคาอยู่ที่ 1,680 เมตร   จนท.อช. ได้เดินมาบอกว่า  ถ้ามาหน้าฝนนะ  จะสวยกว่านี้มาก  เสียแต่ถนนลื่นไปหน่อย   ปิ่นเชื่อนะ  เพราะหน้าฝนน่ะ มันสวยกว่าจริง สดชื่น มีหมอกลงด้วย 


มา มา เดี๋ยวพาไปพบ ถนนลอยฟ้าอีกแห่งหนึ่ง  หลังลงมาจาก อช. ดอยภูคา   เห็นไหม ?    เป็นทางตรงยาว..บนสันเขา สวยงามมาก  เสียแต่ว่า หญ้าสูงไปหน่อย  น่าจะตัดให้เห็นวิวโดยรอบบ้างเนอะ










ลงไปทางอ.ปัว  เพิ่งทราบว่า ทางเข้าดอยภูคา ฝั่งอ.ปัว น่ะ ถูกปรับปรุงทำถนนใหม่หมดแล้ว กว้างกว่าเดิม  

ปิ่นหามุมที่เคยมาครั้งก่อน  ไม่เจอ   สงสัย ถูกเปลี่ยนไปแล้วแน่นอนเลย ..มา มา ดูรูปเปรียบเทียบกัน เมื่อ 2 ปีที่แล้ว   ความเจริญมาแทนที่   ธรรมชาติถูกเปลี่ยนไปเลย





ได้นึกถึงคำพูดหนึ่งๆ ของ มหาตมะคานธี  กล่าวไว้ว่า "จงดูธรรมชาติเถิด  ธรรมชาติทำงานอยู่ตลอดเวลา ไม่หยุดเลยแม้ชั่วขณะเดียว แต่ธรรมชาติไม่เคยพูดนะ"    

ปิ่นได้แต่ทำใจ บอกกับตัวเอง ในใจไปเงียบ ๆ  

แล้วขี่ออกไปยัง ทางออก  ไปเติมน้ำมัน ในอ.ปัว  ตอนแรก กว่าจะไปเข้าเส้น  1148 ทางอ.ท่าวังผา  แต่ต้องขี่ย้อนไปไกล   มีคนแนะนำมา ให้ลองไปเชียงกลาง  เข้าเส้น 1097  แล้วไปออกเส้น 1148





ปิ่นก็เอ๋... ถามกลับไปว่า "มีอะไรจะเซอร์ไพรส์อีกหรือเปล่า ?"    เขาบอกว่า "ให้ลองไปดูซิ  ถนนสวยมากเลยนะ  จะเสียดายมากนะ ถ้าไม่ได้ไป "

แค่คำว่า "เสียดาย"  แทงใจปิ่น     ปิ่นจึงไม่ยอมรีรอ  รีบบึ่งออกไปเลย  ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า  เส้น 1097  มีอะไรกันนะ ?  ซึ่งห่างออกไปแค่ 15 กิโลเมตรจากตัวเมืองปัว  ไปยังเชียงกลาง  

แต่ถ้าจะมาเส้น 1097  นะ  ไม่มีป้ายบอกนะ  ต้องเปิด GPS  นำทางไป  จึงเจอทางเข้าในที่สุด  ค่อย ๆ เข้าไปลึก ๆ









ไม่น่าเชื่อว่า มีถนนสวยมาก อีกแห่งหนึ่ง  ไม่ทราบมาก่อนเลย ว่า เส้น 1097  ยังมีวิวสวยได้อีก   จริง ๆ มีสมาชิกบางท่านในนี้ ทราบดี แต่ลืมบอกไปน่ะซิ  

ปิ่นดีใจมากที่ได้มาที่นี่  ถูกใจมาก  เป็นถนนลอยฟ้าอีกแห่งหนึ่ง  ได้คว้าเส้นขอบฟ้าได้อีกแล้ว ไม่หยุดเลย.. สนุกมาก  ถนนลาดยางอย่างดี  แต่มีสิ่งหนึ่งทำเอาปิ่นตาโตไปชั่วขณะ   ปิ่นขออุบไว้ดีกว่า   อยากให้คุณมากันเองดีกว่า  จะมีเซอร์ไพรส์อีก  อิอิ  ชอบมากก  ทำเอาปิ่นโกรธเขาไม่ลงเลย  

พอพ้นเส้น 1097 ไปยัง เส้น 1148    ได้แวะพักร้านอาหารก่อนเข้าเมืองอ. สองแคว  จะมีร้านอาหารเล็ก ๆ ของคุณสุทิน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ  สวยมากเลยนะ  ปิ่นเคยแวะมาพักทานอาหารกลางวันที่นี่  อาหารพอใช้ได้   

ชอบมาก  นั่งสบายใจดี






ขี่ต่อมานิดหนึ่ง  จะพบจุด ๆ หนึ่ง ยอดนิยม  ถ่ายรูปเล่นซะเลย ถ่ายเยอะ ๆ  ฟ้าใสสวยมาก มีเฆมอยู่เป็นเพื่อนกัน เยอะแยะเลย  กระโดดเล่นซะหน่อย  ขอบอกว่า กระโดดเป็นสิบ  ๆ รอบ แน่ะ.. แฮ่ก ๆ  ได้มาภาพเดียวเอง ชิชะ







แล้วขี่ยิงยาว  ไม่หยุด สนุกกับเส้น 1148 มาก ๆ    ไม่หยุดพัก ยกเว้น  แวะหยุดพักกลางทาง ดูวิว ภูลังกา




ต่อไปยัง น้ำตกภูซาง  แต่...ไปถึงประมาณเกือบ สี่โมงเย็นได้   ปิ่นไม่ได้ถ่ายรูปช่วงนี้ 

ปิ่นเข้าผิดทางน่ะ  คือ ปิ่นกดจุดปลายทางบน GPS  ผิดน่ะ   มันก็เลยพาไปอีกทาง อ้อมไกลมาก จึงเสียเวลาไปหน่อย  

เจอเรื่องไม่ประทับใจ  เมื่อจนท. อช. น้ำตกภูซางพูดจาไม่รู้เรื่อง    ไม่ยอมบริการเปิดบ้านพักให้   เขาบอกว่า ไม่มีบ้านพัก ไม่มีคนเฝ้า ไม่มีบริการ บลา บลา แถมยังไล่ให้ไปหาที่พักข้างนอกเอาเอง บริการแย่มาก    ปิ่นก็หมดหนทาง  ไม่ได้พักที่นี่เป็นแน่ ๆ   เห็นป้ายขึ้นภูชี้ฟ้า ห่างออกไปอีก 45 กิโลเมตร   แต่เป็นทางขึ้นเขาตลอด   อีกทาง ย้อนกลับเข้าเมือง อ.เชียงคำ  ในตัวเมืองมีที่พักเยอะแยะไป   

น่าขำ คือ..พอมาถึง ตัวอช. น้ำตกภูซางปุ๊ป แบต GPS หมดลงพอดี เพราะไม่ได้ชาร์จแบตเลยตลอดทริปนี้  และอีกอย่างปิ่นใช้น้อยมาก ไม่ได้เปิดตลอดทริปนะ  ใช้เฉพาะเวลาจำเป็น ไม่ได้ต่อสายพ่วงน่ะ   ทำให้ปิ่นไม่สามารถกดหาที่พักได้หลังจากไปไฟท์กับ จนท. อช. มา  แถมยังเขาบอกทางไม่ถูกด้วยน่ะซิ ว่า มีที่พักที่ไหนบ้าง ปิ่นต้องมานั่งคิดเอง หาทางแก้ปัญหากันเอาเอง    อารมณ์เสียด้วย จึงไม่ได้ถ่ายรูปน้ำตกมาฝากกัน  

แต่อากาศเย็นมาก อุณหภูมิดิ่งลงมาที่ 8 องศา  ไม่อยากจะเชื่อเลย ทางราบเนี่ยนะ ???   

จึงต้องแวะเข้าพักกลางทาง  ชื่อ ลัลดาวัลย์รีสอร์ท หรือไง จำชื่อไม่ได้ล่ะ  แต่ไม่แพง  คืนละ 300 บาทเอง มีให้ครบทุกอย่าง ยกเว้น กระติกน้ำร้อน มีแอร์  แต่เครื่องทำน้ำอุ่น น้ำยังเย็นอยู่ เพราะน้ำมันเย็นเกินไปนั่นเอง  เปิดจน max สุด ๆ  น้ำยังไม่ยอมอุ่น ไม่ร้อน   ก็ต้องกลั้นใจอาบน้ำมันซะเลย  บรืออ...หนาววว

มีข้อผิดพลาดหนึ่งข้อ คือ ไม่ได้เอาสายต่อสายไฟมาเผื่อไว้ สำหรับชาร์จแบต คือ ปิ่นมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มาด้วย 3 ชิ้น  แต่ดันมีปลั๊กชาร์จแบต มา 1 อัน    คราวหน้าต้องพกมา 3 ตัวซะแล้ว 


อากาศเย็นมาก ขนาดปิดหน้าต่าง ปิดประตูนะนั่น..

นอนหลับอย่างสบายใจ     

Day 4  

ตื่นขึ้นมาไม่อยากจะเชื่อว่า วันนี้ต้องกลับเชียงใหม่ซะแล้ว    ไม่อยากจะกลับกรุงเทพเลย อยากขึ้นภูชี้ฟ้ามากกว่าอ่ะ  ไว้คราวหน้าล่ะกันเนอะ     

มา มาดูที่พักกัน  เหมือนโรงแรมม่านรูดใช่ไหมล่ะ ?   อิ อิ ไม่ต้องไปคิดมากน่า เอาไว้ซุกที่หัวนอน ก็พอแล้ว





กว่าจะออกมาก็สายเยอะอยู่  เก้าโมงเช้าแล้ว    มัวแต่โอ้เอ้ไปหน่อย  และ ปิ่นคำนวณเวลาผิดไปว่า  ควรจะถึงเชียงใหม่บ่ายสามโมง   แต่ผิดคาด คือ...มีสายเข้ามือถือ   มาจาก ออฟฟิศปิ่น  คุยกันเรื่องงาน ปัญหาเยอะแยะ    Line  คุยกันอยู่ ชั่วโมงกว่า   ระหว่างขี่เข้า อ.จูน จ.พะเยา  ต้องแวะจอด  เสียเวลาไปเยอะมาก แถมยัง กินแบตมือถือไปกว่า 50%   ปิ่นคิดในใจว่า แบตสำรองที่พกมา  ชาร์จแบตไม่พอแน่นอน ระหว่างนั่งรถไฟกลับกรุงเทพ คืนนี้  เครียดเลยตรู... 

ขี่รถต่อไป   ปิ่นเคยแวะผ่านจังหวัดพะเยามา 4 ครั้งแล้ว แต่ไม่เคยแวะกว๊านพะเยาอย่างจริงจัง  เห็นว่ามีเวลาเหลือพอ จึงลองแวะ ไปทานข้าวริมกว๊านพะเยาซะหน่อย 

จอดแวะถ่ายรูป เป็นที่ระลึก





อยากทานข้าวซอยมาก ๆ เลย  กะว่าจะเข้าไปกินในตัวเมืองเชียงใหม่ ซะหน่อย  แต่....อด ฮือ ๆ ๆ  ทำไมน่ะเหรอ?  มาอ่านกันต่อดีกว่า   


ออกจากปั้มสุดท้ายในตัวเมืองพะเยา ก็บ่ายโมงตรงแล้วยิงยาว เข้าเชียงใหม่ ผ่านเส้น 120 -118  กว่า 150 กิโลเมตร  เป็นทางขึ้นลงเขาตลอดทาง   โค้งไฮสปีดล้วน ๆ   ไม่หยุดไม่พัก ไม่จอด 

จนได้เข้าเมืองเชียงใหม่ บ่ายสามโมงนิด ๆ  แต่ผิดคาด  กะว่าจะเข้าเมือง แวะหาเพื่อนในคูเมืองซะหน่อย แต่รถติดมหาศาลมากก   ต้องถอยทัพ  กลัวว่าจะตกรถไฟเที่ยว ห้าโมงครึ่งน่ะซิ   อีกอย่าง ถนนหนทางในตัวเมืองเชียงใหม่ ต่างจากกรุงเทพมาก  ตรงที่ มันแคบกว่ามาก ดีที่ว่า มุดออกมาได้ทัน    

เกือบตกรถไฟซะแล้ว    ปิ่นเคยมาเชียงใหม่มาหลายครั้งแล้ว จึงจำทางได้   ไปสถานีรถไฟเชียงใหม่ตอนสี่โมงเย็นตรงพอดี   รถติดมาก กว่าจะหลุดออกมาได้   ไม่อยากจะคิดเลย ถ้าขี่ต่อเข้าไปในคูเมือง อาจจะตกรถไฟเป็นได้  เพราะรถไฟเที่ยวกลับกรุงเทพ เที่ยวสุดท้าย คือ ห้าโมงครึ่งน่ะซิ..ทำไงได้ล่ะ ?  

เห็น KTM Duke 390 วิ่งนำหน้าปิ่น  ขึ้นเข้าไปในสถานีรถไฟเชียงใหม่ ปิ่นก็เลยขี่ตามไปเลย 

ปิ่นเอะใจอยู่เรื่องหนึ่ง    เพราะว่า KTM Duke390 ในเมืองไทย ยังไม่เปิดจำหน่ายเลย   ปิ่นจึงเดินไปถาม  ปรากฎว่า เป็นชาวมาเลเชีย   มิน่าล่ะ   แต่เขาพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง  จึงคุยกันลำบากหน่อย  

ปิ่นสังเกตว่า Ducati Mutistrada สีขาว ที่จอดข้าง ๆ ปิ่น มีสภาพพังยับ  ไปล้มมาที่ไหนมาหว่า ??








ปิ่นก็มองหาหัวหน้ากลุ่ม   และได้เจอ คนหนึ่ง เป็นชายหนุ่มดูมีอายุเยอะกว่า เพื่อนในกลุ่ม  พูดไทยได้นิดหน่อย  เขาได้เล่ามาว่า  ระหว่างขี่ไปทางแม่ฮ่องสอน  ได้ขี่บานโค้ง ไปชนกับรถที่สวนทางมา  คนขี่แขนหัก เข้าโรงพยาบาล จึงต้องยกเลิกทริป   ขนกลับประเทศมาเลเชียซะเลย  

ปิ่นได้แต่เห็นใจพวกเขา  

เข้าไปในห้องสัมภาระ ที่อยู่ข้าง ๆ ตู้จำหน่ายตั๋ว  ปิ่นเห็นว่า ชาวมาเลเชีย ได้พยายามขอลดค่าระวางมอเตอร์ไซค์  กลับกรุงเทพ  เหลือ 1000 บาท แถมยังทะเลาะเถียงกับเจ้าหน้าที่สั่งจ่ายบิลค่าระวางอีกต่างหาก  

ปิ๊ป.. ปิ๊ป.. ขออนุญาตเซนเซอร์บทสนทนาหน่อยนะ   ไม่ค่อยน่าเล่าให้ฟังนักหรอกน่า.. 

รู้แต่ว่า มีรถขนาด 1400 CC มาด้วย  ยังมาขอจ่ายค่าระวาง 1000 บาท  ปิ่นก็อ้ะ  มี 1400 CC ด้วยเหรอ ? เขาบอกว่า มี  เขาเอาขึ้นรถไฟไปแล้ว ปิ่นไม่เห็นน่ะ   เดี๋ยวพาไปดู

สรุป จ่ายค่าระวางไปทั้งหมด 1127 บาท  สำหรับขนขึ้นรถไฟกลับกรุงเทพ    แพงดีแท้  แพงกว่า ค่าตั๋วคนขี่ซะงั้น 

มองกลับไปที่รถตัวเอง "ไอ้หนูนินจาเขียวเอ้ย.. เอ็งอ่ะ กินเงินจุกจังนะ   เอาเถอะ  แกทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยมมาก  ไม่ดื้อ ไม่ซน พาเราจนได้จบทริปอย่างปลอดภัย   สนุกด้วยกันมากมาย  ชอบใช่ไหมล่ะ ?  เดี๋ยวกลับกรุงเทพ ฯ จะพาไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่องให้ใหม่นะ "   พูดยังกะ มันมีชีวิตด้วยวุ้ย ..ทำไงได้ล่ะ   

พร้อมตบเบาะเบา ๆ   แปะป้ายลงจุดปลายทาง จังหวัดกรุงเทพมหานคร  ไม่อยากกลับเลยเนอะ  ไอ้หนู



ปิ่นก็เดินหาที่ชาร์จแบตมือถือ จนทั่ว  แต่ชาร์จเต็มไม่ทันอยู่ดี   ต้องเตรียมตัวนำรถนินจาขึ้นรถไฟกลับกรุงเทพ 

ที่นี่เขาบริการได้ยอดเยี่ยมมาก  ไม่ขอทิป เหมือนฝั่งสถานีหัวลำโพงซะด้วย  เขามองดูนินจาด้วยความชื่นชม  

แถมยังมีลูกหมาพันธุ์เซนต์เบอร์นารด์ มาด้วย   จะไปลง จังหวัดพิจิตร น่ะ   น่ารักมาก..แต่มันก็ร้องหาแม่นะ  ร้องดังมาก ปิ่นก็ยืนอยู่เป็นเพื่อน จับ ๆ ลูบหัวมัน ปลอบใจ  จนกว่า จนท. นำขึ้นตู้โบกี้ไปในที่สุด  อยากได้นะ  แต่สงสารมัน  ไม่เหมาะกับอากาศในเมืองไทยน่ะ  เพราะเป็นหมาเขตหนาว



ปิ่นได้ขึ้นตู้โบกี้ หมายเลข 5   เป็นตู้นอนพัดลมชั้น  2 เหมือนเคย  เต็มไปด้วย ชาวต่างชาติ เต็มตู้เลย มีปิ่นคนเดียวเป็นคนไทย  คนที่นั่งตรงข้ามกับปิ่น เป็นชาวสวิสเซอร์แลนด์  ชื่อ เอญิย่า  เป็นภาษาฝรั่งเศส น่ะ  เธอน่ารักมาก  มาท่องเที่ยวเมืองไทย คนเดียวซะด้วย  ปิ่นถามว่า ทำไมไม่พาเพื่อนมาด้วยล่ะ ?






เขาบอกว่า  อยากมาคนเดียวมากกว่า  แล้วที่เหลือ ไปหาเพื่อนใหม่ ข้างหน้าเอาดีกว่า" make friend and lead to a new thing."  น่าประทับใจมาก  คุยกันไปเรื่อยเปื่อยอย่างสนุกสนาน เมื่อรถไฟออกจากชานชาลา ตรงเวลาเป๊ะพอดี  

หนุ่มฝรั่งเศส ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ น่ะ  ไม่ค่อยคุยกะเรามากนัก  เพราะเขาพูดภาษาฝรั่งเศส ปิ่นพูดไม่เป็นน่ะซิ  ฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก   เขาพูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย  เขาได้ออกไปโผล่นอกหน้าต่างเพื่อโบกธงชาติไทย ให้เพื่อนเขาถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก

Ms.เอญิย่า  คนนี้ ได้แบกบรรดาผักนานาชนิด  ปิ่นถามว่า ชอบกินผักเหรอ ?  เขาบอกว่า กินผักแล้วรู้สึกสบายท้อง ไม่มีลมน่ะ  เขาก็ยื่นผักบุ้ง  ผักกาดขาว มาให้ปิ่นทาน  ปิ่นร้อง อึ๋ยยย... ไม่ชอบ 

"No, Thank you.  I'm not  a pest"  แปลว่า  ไม่ล่ะ ขอบคุณ ปิ่นไม่ใช่ศัตรูพืช น่ะ   (มุขน่ะ มุข.. เก็ตด้วยซิ  หัวเราะใหญ่เลย


จริง ๆ นะ ในใจปิ่น อยากจะพูดว่า  "Don't fart"  แต่ไม่กล้าพูดออกไปอ่ะ  เกรงว่าจะเสียมารยาทน่ะซิ..

เธอทานผักตลอดเวลา  แถมยังทานกล้วยได้อีก  ในกระเป๋าเธอเต็มไปด้วยผักปลอดสารพิษทั้งนั้น ปิ่นได้แต่มองด้วยความแปลกใจ  เธอยังยิ้มแย้มอย่างแจ่มใสได้อีก  เออ แปลกดี



พอได้เวลาสองทุ่มกว่า ปิ่นเริ่มหมดแรง เหนื่อยด้วย  ร่างกายกรอบแกรบไปหมดแล้ว  ง่วงนอนมาก  จึงได้ขอเธอ บอก จนท. ให้ปูที่นอน ได้ไหม ปิ่นง่วงนอนแล้ว  เธอก็โอเค  

นอนหลับสบายมาก   อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้  จะถึงกรุงเทพแล้วซิ     

หลับยาวเลย ตื่นมาใหม่อีก เจ็ดโมงเช้า  ยังไม่เข้าตัวเมืองกรุงเทพ  เห็นบรรดานักท่องเที่ยวแบ็คแพ็ค ตื่นกันหมดแล้ว   จนท.ได้บรรจงจัดเก็บที่นอนให้  

ก่อนถึงสถานีหัวลำโพง  ปิ่นกับเอญิญ่า ได้ถ่ายรูปร่วมกันเป็นที่ระลึก  และชื่นชมเจ้านินจา ก่อน ลาจากกัน



ปิ่นมองไปที่เจ้านินจา เอาอีกล่ะ  เอาอีกละ  เนื้อหอมอีกแล้วนะเออ..เมื่อไร จะได้เรียกหนุ่ม ๆ มาหาปิ่นบ้างซิ.. 

นินจาคงทำหน้าเชอะ  แล้วทำหน้าเก๊กหล่อต่อไป เรียกสาว ๆ  ได้อีกเป็นโหล..  เหอ เหอ..ไอ้นี่..


ต่อมาเข็นไปยังปากทางออก  ได้เจอกลุ่มไบค์เกอร์ชาวมาเลเชีย  ตกใจหมด  เจอ Kawasaki GT1400 ด้วยวุ้ย..  เจอเจ้าของรถด้วย   ปิ่นได้ถามเขาว่า จะไปไหนต่อ ? เขาบอกว่า รอเพื่อนก่อนอยู่  ปิ่นก็อ้อ  โอเค บาย ๆ นะ  ปิ่นต้องรีบขี่ไปออฟฟิศต่อ




และตกเย็น หลังจากเลิกงาน  ถึงที่พักโดยสวัสดิภาพ  ด้วยไมล์สิริรวมทั้งหมด  969 กิโลเมตร




น้อยนะ   ปิ่นอยากวิ่งเยอะ ๆ กว่านี้อีก   ทริปนี้  เป็นทริปหนึ่งที่น่าประทับใจมาก   ไม่มีวันลืมแน่นอน  และไม่ได้เดินทางคนเดียว  ไม่เหงาเลย สนุกมาก ๆ  มีคนที่คอยให้กำลังใจ ให้ข้อมูล ความห่วงใยตลอดทริปนี้   และดีใจที่ได้รู้ว่า เขาสนุกกับทริปของเรามาก ๆ   ราวกับว่า ได้ไปด้วยกันตลอด  แม้ว่า เขาไม่ได้มาด้วยกันก็เถอะ    

ค่าน้ำมันรถนินจานะ  ตอนนี้ น้ำมันถังสุดท้ายยังใช้ไม่หมดเลย  เพราะจอดมากกว่าขี่ง่ะ  หลังกลับมาจากทริปนี้มา   ไม่มีแผนขี่ช่วงวันหยุดปีใหม่น่ะ 

เติม E20 เต็มถังทุกครั้ง  ยกเว้น ปั้มหลอดที่ อ.บ้านโคก 

- พิษณุโลก  E20  440 บาท 12.96 ลิตร 
-  อ.บ้านโคก  เบนซิน  5 ลิตร 215 บาท 
- อ. น่าน   E20 300 บาท 8.50 ลิตร
-  อ.ปัว  E20  240 บาท 6.80 ลิตร
- อ.เมืองกว๊านพะเยา  E20  320 บาท   9 ลิตร 
ทั้งหมด 1,515 บาท เจ้าค่ะ   ถูกดีมั้ย ?  สำหรับทริป 4 วัน  3 คืน 


เชิญชม Clip Video ด้วยนะคะ